หลวงพ่อนาคปรก ประดิษฐานอยู่ที่ วัดปากน้ำ บุ่งสระพัง หมู่ที่ 10 ตำบลกุดลาด อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นพระพุทธรูปนาคปรกหินทราย ศิลปะยุคทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 12-15 อายุประมาณ 1,300 ปี เป็น พระพุทธรูปนาคปรกที่แตกต่างไปจากที่พบในประเทศไทยทั้งหมด พระพุทธรูปางนาคปรกโดยทั่วไปมักจะมีพญานาค ตัวเดียวขนดเป็นฐานชุกชี แล้วแผ่พังพานออกเป็น ๗ หัว เหนือพระเศียรพระพุทธรูป ในขณะที่ลักษณะของพระพุทธรูปนาคปรก วัดปากน้ำ มีพญานาค ๗ ตัว ทอดขนดกอดเกี้ยวรวมเป็น หนึ่ง แล้วแผ่พังพาน ๗ หัว เหนือพระเศียรพระพุทธปฏิมากร เรียกว่า พญานาค ๗ ตัว ๗ เศียร แผ่พังพานเป็นกำบังพระพุทธเจ้าหลวงพ่อนาคปรก
แต่เดิมหลวงพ่อนาคปรก ประดิษฐานอยู่ที่วัดป่าพระพิฆเณศวร์ เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ชาวบ้านจึงย้ายหมู่บ้านหนีน้ำไปสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ขึ้น ซึ่งก็คือบ้านปากน้ำ ในปัจจุบัน และได้อัญเชิญหลวงพ่อนาคปรกขึ้นมาด้วย การพบพระพุทธรูปนาคปรก หินทราย ศิลปะยุคทวารวดี บริเวณวัดป่าพิฆเณศวร์ บ้านปากน้ำ สอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ตามลุ่มแม่น้ำมูล ที่มีอายุราว ๑๒–๑๓ ศตวรรษขึ้นมา แหล่งโบราณคดียุคประวัติศาสตร์รุ่นเก่าที่สุดพบมากบริเวณวัดภูเขาแก้ว บ้านสะพือเหนือ ในเขตอำเภอพิบูลมังสาหาร
จากหลักฐานข้างต้น เชื่อได้ว่า บริเวณชุมชนโบราณบุ่งสระพัง เป็นที่ชุมนุมการคนมาคมที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของอีสาน เป็นผลทำให้ศิลปวัฒนธรรมสมัยก่อนเมืองพระนคร และสมัยเริ่มแรกเมืองพระนคร ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมาจนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ แพร่กระจายออกไปในภูมิภาคนี้ ซึ่งการอพยพผู้คนเข้ามาตั้งชุมชนอีสาน โดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มน้ำมูล เริ่มมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยพบหลักฐานขวานหินขัดแบบมีบ่า ซึ่งเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ สำหรับวัฒนธรรมยุคทวารวดี มีพื้นฐานพุทธศาสนาจากอินเดีย มีศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่ภาคกลางของไทย เริ่มเข้ามามีความสำคัญในอีสาน ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕ ก่อตัวขึ้นภายหลังอาณาจักรเจนละเสื่อมอำนาจลง และ ต่อมา พระพุทธศาสนายุคทวารวดีก็ได้รับความนิยมแพร่หลายเกือบทั่วทั้งอีสานอย่างรวดเร็ว
ภาพและข้อมูล ได้รับความอนุเคราะห์จาก ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวบ้านปากน้ำ บุ่งสระพัง อุบลราชธานี