เริ่มจากพระครูสังฆรักษ์วิฑูรย์ จนฺทวํโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ไปเห็นการตามประทีปของทางเหนือตลอดจนการประดับไฟตามรีสอร์ท จึงมีแนวคิดที่จะทำตามประทีปที่วัดท่าขนุน เริ่มต้นด้วยการนำขวดเครื่องดื่มชูกำลังจำนวน 500 ขวด บรรจุน้ำมันก๊าด เจาะฝาให้เป็นรู ใช้ผ้าจีวรเก่ามาฟั่นเป็นไส้ แล้วนำไปจุดตามบันไดทางขึ้นพระเจดีย์ ตลอดจนปักกระบอกไม้ไผ่ใส่ขวดประทีปไว้สองข้างทางเข้าวัดท่าขนุน
ต่อมาพระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เห็นว่าเป็นความคิดที่ดี จึงต้องการพัฒนาให้การประทีปมีความสวยงามและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น จึงขอความอนุเคราะห์จากญาติโยมชาวเชียงใหม่ จึงให้ซื้อผางประทีปที่ชาวเหนือใช้ตามประทีปในงาน "ยี่เป็ง" มาใช้แทน แต่ผางประทีปที่สั่งซื้อนั้น ตามได้ไม่นานไส้ก็ล้มดับเสียเป็นส่วนใหญ่ และเหลือถ้วยผางประทีปอยู่มากมาย ทางวัดจึงได้พัฒนาใช้สิ่งของที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เริ่มจากนำเศษเชือกหรือสายสิญจน์มาฟั่นเป็นไส้เทียนนำเชือกไปทอดในน้ำมันให้คงรูป แล้วนำมาดัดเป็นไส้ที่ตั้งขึ้น วางลงในถ้วยเก่า ต้มเศษเทียนแล้วหยอดลงไป แต่ปรากฏว่าไส้ก็ยังล้ม เนื่องจากความร้อนของน้ำตาเทียน จึงได้นำลวดมาพันไส้เทียน เพื่อให้คงรูปไว้ไม่ให้ล้มไปเสียก่อน จนเป็นต้นแบบของไส้เทียนในปัจจุบันการตามประทีปเป็นพิธีกรรมที่วัดท่าขนุนทำมาโดยตลอด ตั้งแต่ พ.ศ. 2551 เริ่มต้นการตามประทีปจาก 500 ดวง มาเป็น 2,000 ดวง 4,000 ดวง 8,000 ดวงและขั้นต่ำ 10,000 ดวง ปัจจุบันวัดท่าขนุนมีการตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชา พร้อมทั้งแปรอักษรครั้งละ 15,000 ถึง 18,000 ดวง ทุกวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชาและวันลอยกระทง พร้อมทั้งเวียนเทียน ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยกย่องให้การตามประทีปหมื่นดวงวัดท่าขนุนเป็น Unseen Thailand