วัดบางหลวง
วัดบางหลวง เป็นวัดโบราณที่มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี โดย พระรามัญมุนี ( สุทธิ์ ญาณรสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางหลวง และอดีตเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้บันทึกไว้ เมื่อ พุทธ ศักราช 2451 ว่า "วัดบางหลวงใน หรือวัดบางหลวงไหว้พระนี้ แต่ ก่อนมิได้สร้างวัดนี้เป็นทำเลพงแขม รก ด้วยหญ้าลัดดาวัลย์ เป็นที่อาศัยของสัตว์จตุบาทวิบาท มีเสือดาว กวางทราย เป็นต้น มีลำคลอง เข้าไปทุ่งนาแห่งหนึ่งเรียกคลองบางหลวง พง ป่ารกชัฏตามริมคลองเป็นที่เปล่าเปลี่ยวผู้ คนไปมา คลองนี้แต่ก่อนกว้างประมาณ 3 - 4 วา และมีจระเข้ตัวเล็ก ๆ ชุกชุม มัจฉา ชาติก็มาก สกุณชาติต่าง ๆ ก็มาก อาศัยอยู่ ตามต้นไม้ พวกพรานเที่ยวสัญจรหาละมั่งกวางทราย จับนกจับปลาไปไว้เป็นภักษาหาร ครั้นมนุษย์มาก ขึ้นความเจริญของภูมิประเทศก็ดีขึ้นทุกขั้น ต่อมาเมื่อประมาณ พุทธศักราช 2246 หรือจุลศักราช 1065 สมเด็จพระสรรเพ็ชรที่ 8 ทรงพระนามเดิม ว่า "พระพุทธเจ้าเสือ" (ดอกเดื่อ) เป็นพระเจ้าแผ่นดินในพระนครศรีอยุธยาทาราวดี คือกรุงเก่าได้ ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นที่ตำบลปากคลองบางหลวง ฝั่งใต้ พระราชทานนามว่า "วัดสิงห์"
ในบันทึกนี้น่าจะเป็นความจริงอยู่มาก เพราะวัดบางหลวงมี ๒ วัด คู่ กัน คือ วัดบางหลวงนอก กับวัดบางหลวงใน วัดบางหลวงในคือวัดบางหลวงที่อยู่ปัจจุบันนี้ ส่วน วัดบางหลวงนอกได้ทรุดโทรมปรักหักพังร้าง ไปหมดแล้ว
เจ้าอาวาสวัดบางหลวง แทบทุกรูปได้สนใจการศึกษามาโดย ตลอด เช่น พระราชสุเมธภรณ์ (มังกรกัสสโป) ได้จัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี สามเณรอุทัย เกลี้ยงเล็ก ศิษย์ของท่านสอบบาลีได้เปรียญธรรม 9 ประโยค อุปสมบทเป็นนาคหลวง ในรัชกาลสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พุทธศักราช 2506 และปัจจุบัน พระสุเมธาภรณ์ ( เทียน ฐานุตตโม) เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีก็ได้ เปิดสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีต่อมา ส่วนการ ศึกษาภาษาไทยเกี่ยวกับวิชาทางโลกนั้นพระรามัญ มุนี (มะลิ บัญติโต) ได้ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนของชาติ โดยจัดตั้งโรง เรียนมัธยมศึกษาขึ้นในบริเวณวัด ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2476 ให้ชื่อโรงเรียนว่าโรง เรียนปทุมธานีนันทมุนีบำรุงซึ่งยังเปิดทำการสอนมาจนปัจจุบัน
ข้อสันนิษฐาน : วัดบางหลวงนอก น่าจะสร้างมาก่อนสมัยพระเอกาทศรถขึ้นครองราชย์ ครั้นมาถึงสมัยพระเอกาทศรถขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ได้ทรงเกณฑ์คนขุดคลองลัด เตร็ดใหญ่จากวัดไก่เตี้ย ตัดทรงลงมาทะลุคลองบางหลวงเชียงรากตรงวัดศาลเจ้า เมื่อปีพุทธศักราช 1251 ในการขุดคลองคราวนี้ ได้พบพระ พุทธรูปสมัยเชียงรากแสนองค์หนึ่ง ขนาดหน้าตัก กว้าง 2 ศอกเศษ กล่าวกันว่าเมื่อพบพระพุทธรูปแล้ว ชาวบ้านได้ช่วยกันเอาซุกซ่อนไว้ไม่ให้หลวงหรือทางราชการเห็น โดยเอาพระพุทธรูปซ่อนไว้ที่วัดบางหลวงนอก ซึ่งเดิมทีเมื่อสร้างวัดใหม่ ๆ สันนิษฐานว่าวัดไม่ได้ชื่อวัดบางหลวงคงชื่ออื่น ต่อมาเมื่อภายหลังขุดคลองลัดเตร็ดใหญ่ พบพระพุทธรูปเชียงแสนเอาหลบซ่อนไว้ในวัดเรียกว่าบังไม่ให้หลวงเห็น จึงพูดกันติดปากว่า "บังหลวง" หรือวัดบังหลวง เมื่อเวลาผ่านเลยมานาน คำว่า "บังหลวง " จึงกลายเป็น "บางหลวง" พระพุทธรูป องค์นี้ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ มีพุทธศาสนิก ชนพากันมาเคารพสักการะกราบไหว้กันอยู่เสมอ พอถึงเทศกาลงานประจำปี วันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ จะมีประชาชนมากราบไหว้นมัสการกัน มากมิได้ขาด จนล่ำลือไปทั่ว ชาวบ้าน พูดกันติดปากว่า "บางหลวงไหว้พระ" เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป
หลักฐานในวรรณกรรม: ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลกมหาราช พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระมอญมาเป็นสมภารเจ้าวัดฝ่ายรามัญ ซึ่งใน พระราชพงศาวดารฉบับกรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าว
"......อนึ่ง พระราชคณะฝ่ายรามัญนั้นยังหา ตัวมิได้ จึงทรงพระกรุณาให้จัดพระมหา เถระฝ่ายรามัญซึ่งรู้พระวินัย ปริยัติได้ ๓ รูป ทรงตั้งเป็นพระมหาสุเมธาจารย์องค์หนึ่งพระ ไตรสรณธัชองค์หนึ่ง พระสุเมธน้อยองค์หนึ่ง เมื่อ สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรสถาน มงคลทรงสร้างวัดตองปุขึ้นใหม่ โปรดให้พระ สงฆ์รามัญมาอยู่วัดตองปู และให้พระสุเมธ จารย์เป็นเจ้าอาวาส พระไตรสรณธัชนั้นมีพระ ราชโองการให้อยู่วัดบางหลวง เป็นเจ้าคณะรามัญ แขวงเมืองนนทบุรีและสามโคก พระสุเมธน้อยนั้นโปรด ให้ครองวัดบางยี่เรือใน........."
เมื่อสิ้น แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัช กาลที่ ๒ แล้ว สุนทรภู่ขาดที่พึ่ง ต้องระทม ทุกข์หนักระเหเร่ร่อนนับเป็นชีวิตที่ทุกข์ เข็ญมาก บวชอยู่วัดราชบูรณะได้ ๓ พรรษาก็ มีมารมารังแก ต้องลงเรือน้อยลอยลำขึ้น ไปนมัสการภูเขาทอง เพื่อสะเดาะเคราะห์เสียให้สิ้น หนูพัด และลูกศิษย์ติดตามไปด้วยได้เขียน นิราศภูเขาทอง กล่าวถึง บางหลวงว่า
" ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก สู้ เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา"
ปฏิทินวัฒนธรรม:วัดบางหลวงจะจัดกิจกรรมทุกวันสำคัญทางพุทธศาสนา โดยมีกิจกรรมสำคัญดังนี้
1. ประเพณีปิดทองหลวงพ่อเพชรจัดขึ้นทุกปีในวันแรม 4 ค่ำเดือน 11 เป็นงานประจำปีของวัด จะมีการทำบุญตักบาตรในภาคกลางวัน
2. ประเพณีตักบาตรพระร้อยหลังออกพรรษาทุกปี
3. ประเพณีสงกรานต์ จะมีกิจกรรมสรงน้ำพระ
วัดบางหลวงมีสิ่งที่สำคัญ คือ พระอุโบสถทรงไทยโบราณที่กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน พระอุโบสถทรงไทยโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เป็นศิลปะที่พิเศษ คือ ไม่มีเสาและใช้วัสดุก่อสร้างแบบโบราณ
วัดบางหลวงมีมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้วและยังไม่ขึ้นทะเบียนดังนี้
1. เจดีย์มุเตา ขึ้นทะเบียนแล้ว
2. เจดีย์ชเวดากอง ขึ้นทะเบียนแล้ว
3. พระอุโบสถทรงไทยโบราณ ขึ้นทะเบียนแล้ว
4. จิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติในพระอุโบสถ ขึ้นทะเบียนแล้ว
5. กุฏิศิลปะผสม
6. อาคารเรียนไม้ 2 ชั้นโรงเรียนรามัญมุนี
7. สะพานโค้งศิลปะตะวันตกสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 ด้านริมคลองหน้าวัด ไม่ปรากฎปี พ.ศ.ที่สร้าง แต่จากการสอบถามผู้สูงวัยได้บอกว่า สะพานโค้งนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อม ๆ กับวิหารของวัดบางหลวง สาเหตุที่มีลักษณะโค้งสูงเพราะว่าในสมัยก่อนมีเรือสำปันที่มีหลังคาสูงผ่าน ไปมาตลอด ทำให้สามารถลอดผ่านออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ ซึ่งปากแม่น้ำเจ้าพระยาก็เลยออกไปประมาณ 50 เมตร
8. วิหารวัดบางหลวงสร้างขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5
9. เสาหงส์เป็นสัญลักษณ์ของมอญ ซึ่งจะตั้งอยู่หน้าวัดหันออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา แสดงให้ทราบได้ว่าวัดนี้เป็นวัดมอญ ซึ่งชาวมอญได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณวัดบางหลวงแห่งนี้ และได้ทำนุบำรุงวัดบางหลวงมาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีคนที่พูดภาษามอญได้อยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งวัดบางหลวงยังเป็นสถานที่ รวมตัวกันของชมรมชาวไทยเชื้อรามัญปทุมธานีอีกด้วย
วัดบางหลวงจะมีพระพุทธรูปโบราณที่สำคัญๆ อยู่หลายองค์ คือ
1. หลวงพ่อใหญ่ พระประธานปางมารวิชัยในพระอุโบสถทรงไทยโบราณเป็นพระประธานที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในจังหวัดปทุมธานี
2. หลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ซ้ายบิดไปมาได้ หล่อด้วยสัมฤทธิ์ตันทั้งองค์ สมัยเชียงแสน มีหน้าตักกว้าง 25 นิ้ว สูง 39 นิ้ว ที่ถูกค้นพบขณะที่ขุดคลองลัดเตร็จใหญ่ ในสมัยพระเอกาทศรถ ประมาณ พ.ศ. 2151 จะนำออกให้ประชาชนกราบไหว้สักการะบูชาปิดทองพระเป็นประจำทุกปีในวันแรม 4 ค่ำเดือน 11
3. พระปทุมธรรมราช พระพุทธรูปปางขัดสมาธิเพชร หล่อด้วยโลหะผสม หน้าตักกว้าง 3คืบ พระสุคตประมาณ 40นิ้ว สูง 50นิ้ว ห่มจีวรสังฆาฏิพาด ตั้งอยู่บนฐานบัว สูง 8นิ้ว ยาว 47นิ้ว วัดความสูงถึงยอดพระเกตุมาลาได้ 65นิ้ว เป็นพระประจำจังหวัดปทุมธานี สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5โดย พระศาสนโสภณ ( อ่อน ) เมื่อครั้งยังเป็น "พระธรรมไตรโลกาจารย์ " วัดพิชัยญาติการาม ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลกรุงเทพมหานคร เห็นว่าในเขตปกครองของท่านยังไม่มีพระพุทธรูปสำคัญประจำเมือง จึงดำริกับ พระรามัญมุนี ( สุทธิ์ ญาณรํสี ) เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดบางหลวงในสมัยนั้น พร้อมด้วย "พระยาพิทักษ์ทวยหาญ" เจ้าเมืองปทุมธานี และกรรมการบ้านเมือง ได้ร่วมจัดหาทุนทรัพย์ในการหล่อพระพุทธรูปประจำจังหวัดเริ่มลงมือสร้างเมื่อเดือนมกราคม ร.ศ.118 ( พ.ศ. 2443 ) พระธรรมไตรโลกาจารย์ ได้นำช่างปั้นหุ่นพระพุทธรูปมาจากกรุงเทพ ฯ โดยประกอบพิธี ณ โรงพิธีวัดปรมัยยิกาวาส ซึ่งในการสร้างพระพุทธรูปครั้งนี้ ได้สร้างขึ้นพร้อมกันจำนวน 4องค์ ซึ่งมีพุทธลักษณะที่เหมือนกันทุกองค์ เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปประจำเมือง 4เมือง ต่อมาเมื่อปั้นหุ่นพระพุทธรูปเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้มีกำหนดการเททอง สำหรับพระพุทธรูปประจำเมืองปทุมธานี ได้ประกอบพิธีเททองเมื่อ วันที่ 19กุมภาพันธ์ ร.ศ. 119 ( พ.ศ. 2443 ) ณ โรงพิธีวัดบางหลวง สิ้นเงิน 513บาทเศษ เมื่อได้สร้างพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระธรรมไตรโลกาจารย์ จึงได้นำความขึ้นทูลเกล้าขอพระราชทินนามพระพุทธรูป ทั้ง 4รูป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5ทรงพระราชทานนามพระพุทธรูปประจำจังหวัดปทุมธานีว่า “ พระปทุมธรรมราช” แล้วทรงมีพระรับสั่งให้นำมาประดิษฐานไว้ ณ วิหารวัดบางหลวง นับแต่นั้นมา
4. “พระงอก” บนพระอังสามีลักษณะยื่นออกมา(ประดิษฐานไว้ในกุฏิเก่าของท่านเจ้าคุณพระราชสุเมธาภรณ์)
ที่ตั้ง ตำบลบางหลวง อ.เมือง ปทุมธานี สอบถามโทร. 0-2581-7895 02 581 6948 http://www.bangloungtemple.cc.cc/s1p_Baby_253397
การเดินทางจากศาลากลางจังหวัดหลังเก่าไปตามถนนปทุมธานีสายใน ประมาณ 3 กม. พอข้ามคลองบางหลวงก็ถึงประตูวัดอยู่ซ้ายมือ
แหล่งที่มาข้อมูลจาก : www.amazingpathum.com