ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 15° 39' 25.9999"
15.6572222
ลองจิจูด (แวง) : E 101° 6' 24.0001"
101.1066667
เลขที่ : 101091
ประเพณีอุ้มพระสรงน้ำอำเภอวิเชียรบุรี
เสนอโดย ป้าภัท วันที่ 28 มิถุนายน 2554
อนุมัติโดย เพชรบูรณ์ วันที่ 2 มิถุนายน 2555
จังหวัด : เพชรบูรณ์
1 921
รายละเอียด

ประวัติความเป็นมา

                ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ราวรุ่นปู่ของพระยาประเสริฐสงคราม     (ใจ ณ วิเชียร) ซึ่งเคยเป็นเจ้าเมืองวิเชียรบุรีเช่นกัน บ้านเมืองกำลังเกิดสงครามครั้งใหญ่ เมืองวิเชียรบุรีก็เกิดสภาวะแห้งแล้งชาวบ้านมีความอัตคัดขัดสนไปทั่ว  โจรผู้ร้ายชุกชุม เจ้าเมืองจึงคิดอุบายขึ้นเพื่อปลอบขวัญประชาชน โดยริเริ่มกระทำพิธีอุ้มพระสรงน้ำ ในวันสิ้นเดือนสิบ ซึ่งตรงกับวันสารทไทย ใช้บริเวณวังกระโห้เป็นสถานที่จัดพิธี          ถือว่าเป็นบริเวณวังน้ำที่ศักดิ์สิทธ์ เนื่องจากเจ้าเมืองเล็งคู่เมืองศรีเทพ ได้ใช้ทำพิธีเสี่ยงทายเกี่ยวกับบ้านเมืองเช่นกัน   แล้วเจ้าเมืองจึงป่าวประกาศให้ราษฎรไปร่วมงาน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจที่เข้มแข็งและปลูกฝังความเชื่อความศรัทธาที่ดี โดยการนำพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาสรงน้ำบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ปีละครั้ง  เพื่อเป็นศิริมงคลแก่บ้านเมืองทำให้ประชาชนได้รับอานิสงค์ผลดีมีความร่มเย็น ถ้าผู้ใดตักน้ำศักสิทธิ์ไปดื่มกินหรือปะพรมก็จะแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงได้  หลังจากทำบุญตักบาตรในวันสารทไทยเสร็จแล้วประชาชนพื้นเมืองวิเชียรบุรี  พร้อมใจกันไป ณ บริเวณวังกระโห้ริมแม่น้ำป่าสัก (บ้านห้วยชัน  ตำบลสระประดู่)  เพื่อเข้าร่วมพิธีอุ้มพระสรงน้ำ เมื่อถึงฤกษ์พิธี ประชาชนในพิธีและผู้ร่วมงานจะลงเรือ โดยประธานซึ่งเป็นเจ้าเมือง จะอุ้มพระพุทธรูปโบราณสมัยลานช้างปางมารวิชัย  อายุประมาณ 700 ปี ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ประดิษฐานอยู่ที่วัดวิเชียรบำรุง  พายเรือไป ณ จุดกึ่งกลางของวังกะโห้และลงน้ำในท่ายืนอุ้มพระเมื่อเจ้าหน้าที่ย่ำฆ้อง 3 ราฝ่ายสงฆ์จะเริ่มบทเจริญพระพุทธมนต์ชัยมงคลคาถา ประธานจะเริ่มพิธีสรงน้ำพระด้วยการย่อตัวนั่งลงให้องค์พระดำจมลงจนมิดเศียรอย่างช้าๆ จำนวน 3 ครั้ง ซึ่งมีข้อกำหนดไว้ว่าหากต้องการให้ปีถัดไปเขตอำเภอมีน้ำฝนมาก ให้ดำในลักษณะหันพระพักตร์ของพระไปทางทิศเหนือ 2 ครั้ง แล้วหันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ 1 ครั้ง หากมีฝนตกพอดีก็ให้หันไปทางทิศเหนือ 1  ครั้ง  และหันทางทิศใต้    2 ครั้ง แต่ถ้าหากหลงลืมกระทำเกิน 3 ครั้ง ปีถัดไปน้ำก็จะท่วมใหญ่   หลังจากเสร็จพิธีแล้ว ผู้ร่วมงานก็ได้ชมการแข่งขันเรือสอยพื้นบ้าน (มี 2-3ฝีพาย) และแข่งขันกีฬาทางน้ำ ประกวดเรือผ้าป่า, ประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง  และมหรสพอื่นอย่างสนุกสนาน จนถึงเวลาพลบค่ำจึงเลิกรากัน  เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2530 - พ.ศ.2536  ได้หยุดจัดประเพณีอุ้มพระสรงน้ำ เนื่องจากทางราชการและประชาชนไม่เห็นความสำคัญ  ได้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นทุกปีไม่เว้น เพราะมีคนตกน้ำตายเป็นประจำ      บางคนหว่านแหหาปลาอยู่ดี ๆ ก็จมน้ำตาย บางคนก็โดดน้ำฆ่าตัวตาย และรายสุดท้ายเล่นน้ำอยู่ดี  ๆ ก็จมน้ำหายไป ปีละคน 2คน  นางกิมหลี ซอนจำปา เห็นท่าไม่ดีเป็นแน่   จึงได้ปรึกษากับ นางอารีย์ พิชิตกวิน  อดีตประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอ   ว่าควรจะจัดประเพณีอุ้มพระสรงน้ำเหมือนกับ ปู่ ย่า ตา ยาย ได้ปฏิบัติกันมาเป็นประจำทุกปีหรือไม่  และแล้วก็ชวนกันจัดเครื่องสังเวยอาหาร หวานคาว ผลไม้  และบายสี  ตามอัตภาพ  จะมีกลุ่มแม่บ้าน , พระสงฆ์เต็มรำเรือ ,  นายอำเภอ, และศึกษาธิการอำเภอ ลงเรือประมาณ 2–3  รำเรือ และขบวนแห่เรือผ้าป่า พายไปทำพิธีอุ้มพระสรงน้ำที่วังกระโห้บ้านห้วยชัน   ไม่เช่นนั้นลูกหลานชาวอำเภอวิเชียรบุรี จะต้องสังเวยชีวิตกันทุกปี  จึงเป็นที่มาของการจัดประเพณีอุ้มพระสรงน้ำขึ้นอีกครั้ง   ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา และทำให้ไม่มีใครตายทางอีกเลย   เมื่อจัดงานเสร็จตอนเย็นจะมีฝนตกกระหน่ำทุกปี  น้ำท่า ข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์ดี  

สถานที่ตั้ง
บริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่วิเชียรบุรี ด้านทิศใต้ของสะพานแม่น้ำป่าสัก
หมู่ที่/หมู่บ้าน ๑๓ บ้านท่าน้ำ ถนน บุศราคัม
ตำบล ท่าโรง อำเภอ วิเชียรบุรี จังหวัด เพชรบูรณ์
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
สภาวัฒนธรรมอำเภอวิเชียรบุรี
บุคคลอ้างอิง นางภัทธิรา เพ็ชรวงศ์ อีเมล์ phatthira2011@hotmail.com
ชื่อที่ทำงาน สนง.วัฒนธรรมอำเภอวิเชียรบุรี
หมู่ที่/หมู่บ้าน ๑๓ บ้านท่าโรง ถนน บุศราคัม
จังหวัด เพชรบูรณ์
โทรสาร ๐๕๖๗๙๑๔๖๑
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
เพชรบูรณ์ 1 กรกฎาคม 2554 เวลา 20:49
ข้อมูลน่าสนใจดี
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่