สำหรับรูปสิงห์คู่ที่ตั้งอยู่ภูสิงห์นั้น ไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจน รู้แต่เพียงว่ามีมานานแล้ว หากใครไปเลี้ยงวัว ควาย ที่ภูสิงห์ก็เห็นทุกคน มีเรื่องเล่าว่า นายยัน ศรีสิงห์ ต้อนวัว ควาย ขึ้นไปเลี้ยงบนภูสิงห์กับเพื่อนๆ และเกิดคึกคะนองตามประสาวัยรุ่น จึงได้ขึ่หลังรูปปั้นสิงห์เหมือนขี่ม้า เพื่อนก็พากันหัวเราะชอบใจ พอกลับมาถึงบ้านเกิดเป็นไข้อย่างหนักหมดทุกคน เดือดร้อนถึงพ่อแม่ต้องพากันนำดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาโทษต่อเจ้าพ่อสิงห์คู่ จึงได้หายป่วย
ปี 2498 ได้มีชาวกุลากลุ่มหนึ่งเข้าไปขุดค้นหาพระพุทธรูปใกล้เจ้าพ่อสิงห์คู่ เกิดปาฏิหาริย์ทุกคนนอนตัวแข็ง เคลื่อนไหวไม่ได้ตลอดคืน รุ่งเช้าจึงหายเป็นปกติ ทุกคนต่างกลัวเกรงจึงพากันรีบหนีไป
ปี 2517 ก็ได้มีพวกมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งพากันขับรถยนต์มาขโมยรูปปั้นสิงห์คู่เพื่อนำไป ขาย ขณะที่กำลังยกขึ้นใส่รถนั้นเอง ได้เกิดปาฏิหาริย์ มีลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำอย่างแรง เสียงต้นไม้ใหญ่น้อยกระทบกันราวกับเสียงฟ้าผ่า พากันตกใจอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันยางรถยนต์ของพวกมิจฉาชีพก็เกิดระเบิดขึ้นและได้รีบเปลี่ยนยาง เส้นใหม่ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ ใช้เวลานานจนรุ่งสาง พวกเขาจึงตัดสินใจเอารูปปั้นสิงห์ทิ้งลงจากรถ ข่าวนี้รู้ไปถึงชาวบ้านลุมพุก ท่านผู้ใหญ่สุวรรณ แต้มงาม จึงได้พาชาวบ้านนำเกวียน 2 เล่ม จัดขบวนแห่เจ้าพ่อสิงห์คู่มาเก็บรักษาไว้ที่อุโบสถของวัดบ้าานโคกตาลเพื่อ ความปลอดภัย
จากนั้นไม่นาน พวกมิจฉาชีพกลุ่มเดิมไม่ละความพยายาม ได้พากันเตรียมเครื่องมือครบครัน เพื่อจะขโมยรูปสิงห์คู่นั้นไปขายให้ได้ คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ขณะที่พวกเขาลงมือใช้เชือกเส้นใหญ่และยางรถจักรยานมัดเพื่อหามออกมาใส่รถ ซึ่งจอดไว้ด้านนอกวัด เหตุการปาฏิหาริย์เหมือนเดิมได้บังเกิดแก่พวกขโมยเช่นครั้งก่อน พวกเขาพากันตกใจวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง คงทิ้งไว้แต่เครื่องมือเท่านั้น
ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อสิงห์คู่ยังปรากฏแก่ชาวบ้านแถบนั้นจนกระทั่ง ปัจจุบัน ทุกคนจึงเคารพนับถือตลอดมา หน้าเทศกาลทำบุญ ก็จะอันเชิญเจ้าพ่อสิงห์คู่ออกมาให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนอันใด ไปบนบานบอกกล่าวเพื่อขอพรจากเจ้าพ่อก็สมหวังทุกราย ปัจจุบันเจ้าพ่อสิงห์คู่ดังกล่าวยังตั้งประดิษฐ์ฐานอยู่ ณ อุโบสถวัดบ้านโคกตาล ตั้งตระหง่านเคียงคู่อยู่เบื้องล่างพระประธานเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้าน ที่สาธุชนควรหาโอกาสไปสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ตลอดไป