ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 9° 8' 24"
9.14
ลองจิจูด (แวง) : E 99° 19' 12"
99.32
เลขที่ : 114974
ศาลหลักเมือง สุราษฎร์ธานี
เสนอโดย - วันที่ 20 กันยายน 2554
อนุมัติโดย สุราษฎร์ธานี วันที่ ไม่ระบุ
จังหวัด : สุราษฎร์ธานี
1 2553
รายละเอียด
สิ่งที่เคารพนับถือของชาวสุราษฎร์ธานีและคนที่มาอยู่อาศัยที่นี่นั้นคือศาล หลักเมืองนั้นเอง ศาลหลักเมืองใหม่นี้เพิ่งสร้างเมื่อไม่นาน คือวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ซึ่งศาลหลักเมืองนี้มีสถาปัตยกรรมศรีวิชัย ที่สวยงาม ที่นี่มีร่อยรอยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนาน และอาจจะเป็นศูนย์กลางความเจริญของภาคใต้ตอนบนในยุคโบราณอีกด้วย ถ้าผ่านมาในช่วงกลางคืนจะสังเกตพบว่าสีสันของตัวศาลหลักเมืองจะเปลี่ยนไปสี ประจำวันนั้นๆ ด้วย ไม่เชื่อก็ต้องแวะไปดูกันแล้วละครับ ศาลหลักเมือง ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานีกับสถาปัตยกรรมศรีวิชัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์แห่งอาณาจักรศรีวิชัยมีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน และ มีแนวโน้มว่าในอนาคตดินแดนแห่งนี้จะเป็นศูนย์กลางความเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจในบริเวณภาคใต้ตอนบน การก่อสร้างศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชสักการะและเฉลิมพระเกียรติเนื่องในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539 และเพื่อความเป็นศิริมงคล เป็นหลักชัยละมิ่งขวัญรวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี คณะช่างจากกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง ตามศิลปกรรมศรีวิชัยด้วยการเน้นรูปลักษณ์ที่เป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นเดิมที่ได้รับอิทธิพลมาจาก ลังกา ชวา และ เขมรสมกลมกลืนกัน เพื่อแสดงถึงความแข็งแรงมั่นคงและเป็นปึกแผ่น องค์หลักเมืองประกอบด้วยยอดเสาหลักเมืองบรรจงแกะสลักจากไม้ราชพฤกษ์ เป็นพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสี่หน้า หันพระพักตร์ไปทั้งสี่ทิศเหมือนการแกะสลักพระพรหมสี่หน้าไว้ตามยอดหลักเมืองทั่วๆไป และตรงมวยมวยพระเกศาสลักเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ พร้อมกับลงรักปิดทองอย่างวิจิตรสวยงาม ส่วนตัวเสาหลักเมืองเกาะสลักจากไม้ราชพฤกษ์เช่นเดียวกัน มีลักษณะเป็นเสากลมโตมีลักษณะสูง 108 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว สำหรับรูปทรงของศาลนั้นได้สร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรมุขย่อมุม มณฑปสร้างเป็นเจดีย์องค์ประธาน มียอดฉัตร 5 ชั้น ถัดลงมาเป็นหลังคาซ้อนเป็นชั้นมณฑปลดหลั่นลงมาจำนวน 4 ชั้น แต่ละชั้นมีเจดีย์องค์บริวาร หลังคามีฐานสี่เหลี่ยมขนาดสูง 5.10 เมตร กว้าง 2.10 เมตร ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นแบบศรีวิชัย ทาสีทอง ปั้นก่อบัวลวดลายบนกลีบขนุนทั้ง 4 ด้าน และได้อัญเชิญเครื่องหมายตราสัญลักษณ์ฉลองราชสมบัติครบ 50 พรรษา ประดับไว้ทั้ง 4 ด้าน 1. ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ศรีวิชัย ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี ซึ่งได้ทรงศึกษาเรื่องทิศทางของลมในจดหมายเหตุจีนและสภาพภูมิศาสตร์ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วนำไปเปรียบเทียบกับบันทึกการเดินทางไปสืบพุทธศาสนาตามบันทึกการเดินทางของภิกษุ อี้จิง แล้วทรงสรุปว่า ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยควรจะอยู่ที่เมืองโบราณไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเทศไทย 2. สถาปัตยกรรมศรีวิชัย วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร พระบรมธาตุเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองชาวสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลเวียง ห่างจากอำเภอไชยา 1 กิโลเมตร สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่สมัยทวารวดี ระหว่าง พ.ศ. 1000-1200 ยอดบริวารสี่มุมคือสัญลักษณ์อริยสัจสี่ ยอดบริวารมีสามรอบ รอบละแปดยอด คือ สัญลักษณ์มรรคมีองค์แปด ยอดพระบรมธาตุหุ้มทองคำ คือ สัญลักษณ์ “นิพานธรรม” 3. นิพพานธรรมในศิลปากรรมศรีวิชัย นายชัยวัฒน์ วรรณานนท์ อาจารย์พิเศษภาควิชาศิลปศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฎสุราษฎร์ธานี กล่าวถึง สถาปัตยกรรมศรีวิชัยว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ก่อให้เกิดจากคติธรรมความเชื่อทางพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ที่เคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนอาณาจักรแห่งนี้มาก่อน การก่อสร้างองค์เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และ พระสารีริกธาตุ อย่างเช่น พระบรมธาตุไชยา จะประกอบด้วยองค์เจดีย์ประธาน และแวดล้อมด้วยองค์เจดีย์บริวารน้อยใหญ่ ลดหลั่งลงมา อันหมายถึงการแสดงความเครารพบูชาต่อองค์พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ รวมทั้งองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่กำลังรอการปรินิพพานเป็นองค์สุดท้ายหลังจากที่ได้ใช้ความเพียรพยายามและความเมตตาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ให้หลุดพ้นความทุกข์ทั้งปวงจนหมดสิ้นแล้ว ภายในยอดเจดีย์ แต่ละองค์จะออกแบบก่อสร้างให้โปร่ง สูง เรียง จากฐานจนถึงยอดสุดที่จะต่อเชื่อเป็นฉัตร 5 ชั้น จะไม่ใช้วัตถุใดๆ มาปิดทับเป็นเพดานตรงบริเวณภายในยอดเจดีย์ อันหมายถึงความเพียรพยายามที่จะปฎิบัติธรรม เพื่อบรรลุถึงซึ่งนิพพานธรรม 4. พรหมวิหาร 4 ธรรมแห่งการครองเมือง เจดีย์บริวาร 4 องค์ ที่ก่อสร้างจากฐานสุดจะหมายถึงพรหมวิหาร 4 อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา ในความหมายทางลัทธิศาสนาพราหมณ์ จะหมายถึงพระพรหม ที่นำมาออกแบบเป็นประติมากรรมสลักไว้บริเวณยอดเสาหลักเมืองทั้ง 4 ทิศ ประวัติความเป็นมาไม้มงคลหลักเมือง ความเป็นมา เมืองประมาณปี พ.ศ. 2400 นายแสง พิมลศรี ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านท่าทองใหม่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นปู่ทวดของนางชม รำเพย ได้มาบุกเบิกป่าใหญ่ชายคลองพุมดวง บริเวณบ้านหาดหอยคล้า ปัจจุบันตั้งอยู่ หมู่ที่ 1 ตำบลเขาวง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นที่ทำกินพร้อมทั้งนำต้นราชพฤษ์มาปลูกในพื้นที่ดังกล่าวด้วย ต่อมานายแสง พิมลศรี ซึ่งมีบุตรจำนวน 6 คน ได้มอบที่ดินแปลงนี้อยู่ในความรู้แลของนายช้วย พิมลศรี บุตรชาย ซึ่งต่อมาย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่นและนายเอม ( ไม่ทราบนามสกุล ) ซึ่งเป็นหลานของนายแสง พิมลศรี ได้เข้ามาจับจองที่ดินแปลงนี้ จนถึงปี พ.ศ. 2450 ต่อมานายเอมได้ขายที่ดินแปลงนี้ แก่นายหวาน – นางเหมือน รำเพย บ้านเดิมอยู่ บ้านพรุสยาม ( ปัจจุบันอยู่ที่ หมู่ที่ 2 ตำบลพรุไทย อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี) เป็นเงินจำนวน 10 บาท นายหวาน – นางเหมือน รำเพย มีบุตร 3 คน คือ นายเคว็ด รำเพย นายเพิง รำเพย และ นางเมื้อง รำเพย และต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2469 ได้แงที่ดินให้อยู่ในการดูแลของนายเพิง – นางชม รำเพย บุตรชาย ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถด้านยาสมุนไพรได้ดูแลต้นราชพฤษ์นี้ไว้เพื่ออนำฝักราชพฤษ์ มาสกัดเป็นยาสมุนไพรขนานต่างๆ ตลอดมา ปี พ.ศ. 2537 ผู้ใหญ่พูนศรี รำเพย ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลต้นยวน อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งป็นบุตรนายเพิง รำเพย ได้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ออกตรวจราชการ โดยมีนายประยูร พรหมพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายธีระ โรจนพรพันธุ์ ปลัดจังหวัด และนายธนพล อันติมานนท์ จ่าจังหวัด ณ ศาลาประชาคม อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายธนพล อันติมานนท์ ได้สอบถามผู้ใหญ่พูนศรี รำเพย เกี่ยวกับต้นราชพฤษ์ที่ลักษณะถูกต้องสำหรับนำไปทำเสาหลักเมืองสุราษฎร์ธานี ซึ่งนายพูนศรี รำเพย ได้แนะนำต้นราชพฤษ์ของนายเพิง รำเพย บ้านหาดหอยคล้า บ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 1 ตำบลเขาวง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายประยูร พรหมพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรการฝ่ายจัดหาเสาหลักเมืองฯ โดยมี นายโสภณ สวัสดิโภชา รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ และ นายณรงค์ ขำหิรัญ ป่าไม้จังหวัดแล้ว นายประยูร พรหมพันธุ์ นายธีระ โรจนพรพันธุ์ นายธนพล อันติมานนท์ และคณะได้ไปตรวจดูความ สมบูรณ์ ของต้นราชพฤษ์ดังกล่าวเห็นว่าเป็นต้นไม้ที่มีคุณลักษณะถูกต้องตามธรรมเนียมนิยมที่จะนำไม้มาทำเสาหลักเมืองสุราษฎร์ธานี วันที่ 30 มกราคม 2539 ทางจังหวัดได้ทำพิธีบวงสรวงต้น และราชพฤษ์ และทำพิธีตัดโค่นในวันดังกล่าวและนำไปแกะสลักที่จังหวัดนครศรีธรรมราชโดยนายพรชัย วัฒนวิกย์กิจ ช่างผู้เชี่ยวชาญการแกะสลักของท้องถิ่น การดำเนินการจัดทำเสาหลักเมืองครั้งนี้สร้างความปิติยินดีแก่ครอบครัวและญาติพี่น้องของ นายเพิง – นางชม รำเพย ตลอดจนข้าราชการและประชาชนอำเภอบ้านตาขุนเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนในการจัดตั้งศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี ลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรม ตัวองค์ศาลฯ เป็นสถาปัตยกรรมศรีวิชัย โดยนำเค้าโครงของเจดีย์วัดพระบรมธาตุไชยา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางศิลปกรรมมาเป็นแม่แบบขององค์ศาลฯ โดยประกอบด้วยเจดีย์ประธาน เป็นรูปทรงระฆังคว่ำ และ เจดีย์บริวารทรงระฆังคว่ำขนาดเล็ก 4 มุมลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ อีก 2 ชั้น มุมฐานเจดีย์ทั้ง 4 มุม ตกแต่งด้วนลวดลายปูนปั้นพญานาค ถัดลงมาเป็นตัวองค์ศาลฯ มีขนาดภายใน กว้าง 6.00 x 6.00เมตร ทางเข้าองค์ศาลฯ ทำเป็นซุ้มจตุรมุข หลังคาซุ้มจตุรมุข ลวดลายปูนปั้นเป็นรูปราหูอมจันทร์ประดับพื้นกระจกเล็กๆ ทำให้เกิดความระยิบระยับขึ้นกับตัวองค์ศาลฯ เมื่อกระทบกับแสงส่วนหน้าบันย่อยที่อยู่บนชั้นถัดขึ้นไปและใบระกาตกแต่งด้วนลวดลายปูนปั้นทั้งหมดโดยบรรจุตราเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 72 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้เพื่อเป็นศิริมงคลกับองค์ศาลหลักเมือง โดยรวมแล้วตัวองค์ศาลฯ ตกแต่งด้วยปูนปั้นฉาบปูนเรียบทั้งองค์ฯ ฐานปัทม์ล่างทาด้วยสีน้ำตาล รายละเอียดการตกแต่งภายในองค์ศาลหลักเมือง ภายในองค์ศาล ตกแต่งผนัง และ พื้นด้วยหินอ่อนสีครีม ฝ้าเพดานภายในเป็นไม้สักประกอบ คิ้วบัว ลงรักปิดทองออกแบบเป็น 2 ชั้น ส่วนฝ้าเพดานซุ้มประตูทางเข้าก็เป็นไม้สักประกอบดด้วยคิ้วบัวลงรักปิดทอง เช่นกัน ภายในประดับด้วยโคมไฟระย้าตรงกลาง และ โครงไฟเพดารโดยรอบ เสาหลักเมือง แกะสลักด้วยไม้ราชพฤกษ์ ซึ้งเป็นไม้มงคล ส่วนยอดเป็นรูปสลักพรหมสี่หน้า ลงรักปิดทองล้อมรอบด้วยเสาหลักเมืองจำลอง 4 เสา ตั้งอยู่บนฐานแกรนิตสีดำ รับเสาหลักเมืองโดยปั้นลวดลายชั้นแรกบนฐาน 8 เหลี่ยม เป็นรูปช้างอยู่ในซุ้ม ขนาด 8 ตัว ลงรักปิดทอง ชั้นที่ 2 ปั้นลวดลายเป็นรูปบัวเล็บช้างลงรักปิดทองประตูทางเข้าภายในองค์ศาลฯ เป็นบานคู่ทำด้วยกระจกสลักเป็นลวดลายรูปยักษี กับยักษา ยืนเฝ้าหน้าประตู เข้า – ออก ด้วยสีสันที่สดใสทีเดียว อีกทั้งช่องแสงรอบองค์ศาลฯ กระจกสลักลวดลาย และ สีสันที่ดูสดใสเช่นกัน สภาพภูมิทัศน์โดยรอบศาลหลักเมือง องค์ศาลหลักเมืองจะมีความโดดเด่นมาก เพราะตั้งอยู่ใจกลางของสนามหญ้าที่เขียวขจี และ หมู่ไม้ประดับตกแต่งโดยรอบ เหมือนวางอยู่บนพื้นพรม บนเนื้อที่ 7 ไร่ มีถนนรอบบริเวณถึง 4 ด้านสามารถมองเห็นองค์ศาลฯ ได้สวยงามทุกด้าน พื้นที่โดยรอบขององค์ศาลฯ ทำเป็นพื้นลาน 2 ระดับ ก่อนที่จะเข้าสู่องค์ศาลหลักเมืองจากระดับพื้นทางเดินชั้นล่างโดยรอบ ( ระดับ 0.45 ) ทำเป็นกำแพงกันดินลาดเอียงผิวบุด้วยหินแกรนิตสีเทา ขึ้นสู่พื้นลาน ชั้นแรก ( ระดับ +1.45 ) ถูกจัดตกแต่งให้เป็นสนามหญ้าทั้งหมด เหลือเป็นทางเดินขึ้นสู่พื้นลาน ชั้นที่ 2 ( ระดับ+2.45 ) ซึ่งปูพื้นลานด้วยกระเบื้องแกรมนิตสีขาวครีม ล้อมรอบพื้นลานด้วยกะบะปลูกต้นไม้ ขอบแต่งด้วยบัว โคมไฟสนามรูปหงส์สีทอง
สถานที่ตั้ง
บ้านดอน
ถนน ดอนนก
ตำบล ตลาด อำเภอ เมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัด สุราษฎร์ธานี
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
บุคคลอ้างอิง กระทรวงวัฒนธรรม
ชื่อที่ทำงาน กระทรวงวัฒนธรรม
ถนน ถนนบรมราชชนนี
ตำบล บางบำหรุ อำเภอ เขตบางพลัด จังหวัด กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10700
โทรศัพท์ 1765
เว็บไซต์ www.m-culture.go.th
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่