สมัยก่อนบ้านเมืองยังไม่เจริญ การคมนาคมก็ไม่สะดวก การจะเข้าไปสู่ตัวเมืองอุบลราชธานีชาวบ้านต้องเดินทางด้วยเท้า เพราะยังไม่มีรถและยังไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำเซบาย ดังนั้นในเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ชาวบ้านต้องช่วยเหลือตัวเองโดยการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าไหม มีทำกันมาแต่โบราณพร้อมกับการตั้งบ้านหนองบ่อเลยก็ว่าได้ เพราะชาวบ้านยังยากจนอยู่ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้า เพราะมีขายแต่ในตัวเมืองจึงต้องทอผ้าขึ้นใช้เอง ทำกันแทบทุกครัวเรือน ผ้าที่ทอเรียกว่า “ผ้าไหมเหยียบ” เพราะเวลาทอฝ้าจะมีไม้เหยียบอยู่ 5 ไม้ เพื่อให้เกิดลวดลาย ปัจจุบันเรียกว่า “5 ตะกอ” และเรียกลายนี้ว่า “ผ้าลายลูกแก้ว”
ชาวบ้านนิยมทอผ้าไหมเหยียบเป็นสีธรรมชาติ คือ สีรังไหมโดยไม่ต้องย้อมสี จากนั้นตัดเป็นเสื้อแขนสั้น แขนยาว มีปกและไม่มีปก และกางเกงขากล (ปัจจุบันกางเกงขาก๊วย) แล้วนำไปย้อมมะเกลือย้อมเย็นแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เพราะมะเกลือหาง่ายในท้องถิ่น และสีดำ เวลาใส่ทำนาก็ไม่เปื้อนง่าย เรียกว่า “เสื้อดำไหม” ชาวบ้านจะทำสิ่งที่ใช้และใช้สิ่งที่ทำ
ความสัมพันธ์ของชุมชนแรงงาน คือ คนในชุมชน ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เวลามีงานบุญประจำ (บุญมหาชาติ) สมาชิกกลุ่มทอผ้าก็จะทำพวงมาลัย ข้าวตอก หรือ ธงทิวจากผ้าทอเป็นลวดลายต่างๆ ไปร่วมแขวนประดับที่วัด หรือร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อบูรณะเสนาสนะตามวัดวาอาราม เช่น บริจาคเงินซื้อดินถมลานวัดเพื่อทำถนนเข้าวัด
ปัจจุบันชาวบ้านประมาณ 90% ก็ยังผลิตเสื้อดำไหม และกางเกงขากบ ไว้ใช้อยู่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ใช้ได้แทบทุกโอกาส แม้แต่ไปเดินห้างซื้อของก็ใส่ไปได้ จะมีคำพูดล้อเลียนว่า “ชาวบ้านหนองบ่อเป็นคนรวย เพราะนุ่งผ้าไหมไปทำนา” แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เพราะเราใช้สิ่งที่เราทำและทำสิ่งที่ใช้
ผ้าไหมทอมือที่ชาวบ้านเลี้ยงไหม และสาวไหมเอง “ ผ้าจะนุ่ม ทิ้งตัวดี มีน้ำหนัก ไม่ยับง่าย ใส่สบาย หน้าร้อนใส่แล้วไม่ร้อน หน้าหนาวใส่แล้วอบอุ่นดี”
ปัจจุบัน มีการผลิตทั้งแบบดั้งเดิม คือ ตัดเป็นตัวเสื้อแล้วจึงย้อมมะเกลือ และพัฒนามาเป็นย้อมสีเส้นไหมก่อน ทั้งย้อมเย็นและย้อมร้อน แล้วนำไปทอเป็นผืนผ้าจึงนำไปตัดเสื้อผ้าได้เลย