ประวัติและความเป็นมาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น
ประวัติสังเขป
เมื่อปี พ.ศ.2451 พระวิไสยสิทธิกรรม(จีน ปิยรัตน์) ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น ในขณะนั้น เห็นว่าที่ทำการเมืองขอนแก่น ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านเมืองเก่า บริเวณด้านทิศเหนือของบึงแก่นนคร (ปัจจุบันคือที่ตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11)คับแคบไม่สามารถขยายเมืองได้ จึงได้ย้ายศาลากลางมาตั้งที่บ้านพระลับ(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งตลาดบางลำพู ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองขอนแก่น ให้ชื่อว่า “ศาลากลางเมืองขอนแก่น” จึงถือได้ว่าเป็นศาลากลางหลังที่ 1
ปี พ.ศ.2491 ได้เกิดไฟไหม้ศาลากลาง ทางราชการจึงได้ย้ายที่ทำการชั่วคราวไปอยู่ที่โรงเรียนสนามบิน ต่อมาปี พ.ศ.2498 ได้ก่อสร้างศาลากลางหลังที่ 2 ในบริเวณเดิมหลังจากสร้างเสร็จในปีเดียวกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จเยี่ยมราษฎร ณ ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันเสาร์ที่ 5-7 พฤศจิกายน 2498 หลังจากนั้นหน่วยงานราชการ จึงได้ย้ายเข้ามาทำงานอยู่ในศาลากลางอีกครั้งหนึ่ง คณะกรรมการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้จัดทำแผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ.2505 – 2059 โดยได้วางเป้าหมายให้จังหวัดขอนแก่น เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ซึ่งจะต้องเริ่มงานก่อนเป็นจังหวัดแรกคณะกรรมการฯ ได้วางแผนจัดตั้งศูนย์ราชการใหม่ เพื่อรวบรวมเอาหน่วยราชการต่าง ๆ มาอยู่ในสถานที่เดียวกันโดยพิจารณาเห็นว่า สนามบินซึ่งสร้างและเปิดให้เครื่องบินลงครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2470(ที่ตั้งศาลากลางจังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) เป็นสถานที่เหมาะสมในการสร้างศูนย์ราชการ โดยได้มีการปรับพื้นที่เพื่อสร้างศาลากลางจังหวัด เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2506 วางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2507 โดย พลเอกประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก่อสร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กทรงไทย แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2507 มีการจัดงานฉลองเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2507 – 2 มกราคม 2508 รวม 3 วัน 3 คืน
เนื่องจากศาลากลางจังหวัดขอนแก่น(หลังเก่า) ได้ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2507 ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ขั้น มีพื้นที่คับแคบไม่เพียงพอกับหน่วยงานราชการต่างๆ จึงต้องเสนอของบประมาณก่อสร้างอาคารของแต่ละส่วนราชการเอง หรือไปเช่าอาคารสถานที่ของเอกชนซึ่งตั้งกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไป ทำให้จังหวัดไม่มีเอกภาพในการบังคับบัญชาไม่สะดวกในการติดต่อราชการของประชาชน จังหวัดขอนแก่นจึงทำคำของบประมาณเพื่อดำเนินการกก่อสร้างอาคารศาลากลางหลังใหม่ ในวงเงิน 156,400,000 บาท ได้รับการอนุมัติ 110,000,000 บาท ได้ดำเนินการก่อสร้างในที่ดินราชพัสดุ เลขทะเบียน 105 (บางส่วน) ตัวอาคารเชื่อมต่อกับศาลากลางหลังเดิม ลักษณะอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กทรงไทย 4 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 10,000 ตารางเมตร ดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัท คอน-ไซน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2540 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2543 โดยได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุไว้เป็นหลังลำดับที่ 432
ได้จัดสรรให้ส่วนราชการต่างอาศัยอยู่เป็นสำนักงานบนศาลากลางจังหวัดขอนแก่น(หลังใหม่) ดังนี้
ชั้นที่1 ได้แก่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด,สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว,ที่ทำการปกครองจังหวัด,สำนักงานจังหวัด,สำนักงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัด
ชั้นที่ 2 ได้แก่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด,ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด,สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น,ธนาคารคลังสมอง,ห้องประชุมพระธาตุขามแก่น,ห้องประชุมดอกคูน,ห้องประชุมเสียงแคน
ชั้นที่ 3ได้แก่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น,สำนักงานจังหวัด(กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร),ศูนย์ประสานงานผู้ป่วยโรคเอ็ดส์,สำนักงานตรวจสอบภายในจังหวัด,สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด,ศูนย์ข่าวสารตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ,สำนักงานแรงงานจังหวัด
ชั้นที่ 4ได้แก่ สำนักงานจังหวัด(ฝ่ายอำนวยการ) ,ห้องหัวหน้าสำนักงานจังหวัด,ห้องรองผู้ว่าราชการจังหวัด 3ห้อง,ห้องผู้ว่าราชการจังหวัด 1ห้อง ,ห้องรับรองพงษ์พาณิช,ที่ทำการปกครองจังหวัด,ห้องปลัดจังหวัด
ชั้นที่ 5ได้แก่ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย,สำนักงานสถิติจังหวัด,สำนักงานสัสดีจังหวัด,ศูนย์ให้คำปรึกษาทางการเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและประชาชน,สำนักงานธนารักษ์พื้นที่จังหวัดขอนแก่น,สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สภาพปัจจุบัน อาคารหลังใหม่ ต้านทิศตะวันตก ชั้น 1 ซึ่งเป็นที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด,สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว,ที่ทำการปกครองจังหวัดและ ชั้น 2 ที่ทำการงสำนักงาน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด,ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด,สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อยู่ในระหว่างทำการซ่อมแซมปรับปรุง เนื่องจากได้รับผลกระทบเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ก่อความไม่สงบอย่างรุนแรง ทำให้เกิดเพลิงไหม้ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553