ประวัติหลวงปู่สีทัตถ์ ท่านพระอาจารย์สีทัตถ์เป็นหัวหน้าชักชวนพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาทั่วไปในการสร้างพระธาตุท่าอุเทนท่านมีใจชอบธุดงค์ค์กรรมฐานมาก ท่านได้จาริกไปในที่ต่าง ๆจนถึงประเทศพม่าและได้เชิญพระบรมสารีริกธาตุมาจากเมืองย่างกุ้ง ซึ่งบรรจุไว้ในพระธาตุท่าอุเทนนี้ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านได้สร้างพระธาตุเจดีย์และมณฑป คือ
พระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
พระธาตุพระบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
มณฑปโพนสัน
ต่อมาเมื่อราว พ.ศ. 2470 ท่านพระอาจารย์สีทัตถ์ ได้ไปสร้างพระธาตุที่ภูเขาพระบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ในระหว่างที่กำลังสร้างอยู่นั้นท่านถูกเณรเถน (เถน เรียกสามเณร ที่อายุเกิน 20 ปีแล้ว) รูปหนึ่งทำร้าย โดยครั้งแรกใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมแทงหน้าอก 2-3 ทีก็ไม่เข้าจึงได้ใช้ไม้ตีพริกขนาดใหญ่ตีก้านคอ 2-3 ที ท่านพระอาจารย์สีทัตถ์ก็ล้มสลบไม่ได้สติเชย ญาติโยมต้องนำไปเข้าโรงพยาบาลรักษาที่นครเวียงจันทน์ เพราะในสมัยนั้นการรักษาพยาบาลที่จังหวัดอุดรธานีและหนองคายสู้เวียงจันทน์ไม่ได้ นายแพทย์ฝรั่งเศสให้การรักษาพยาบาลอยู่ถึง 7 วัน จึงได้สติและพูดได้พักรักษาตังยู่โรงพยาบาล 1 เดือน จึงได้ออกจากโรงพยาบาล ครั้นออกจากโรงพยาบาลมาแล้วได้ไปขอตัวอดีตเณรเถนผู้ที่ทำร้ายท่านซึ่งถูกขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดอุดรธานี ขอให้ปล่อยตัวเสียไม่เอาเรื่องและท่านพูดว่า ขอให้แล้วกันไปในชาตินี้อย่าให้เป็นเวรกรรมแก่กันและกันอีกเลย แต่ทางบ้านเมืองไม่ยอมในที่สุดอดีตเณรเถนผู้นั้น ก็ถูกขังอยู่ได้ 1 ปี ก็ตายอยู่ในเรือนจำนั้นเอง สาเหตุที่อดีตเณรเถนจะแทงจุตีก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเพียงแต่ว่าในวันนั้นอดีตเณรเถนได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนหัวนอนของท่านพระอาจารย์สีทัตถ์ท่านพระอาจารย์สีทัตถ์มาพบเข้าจึงได้ว่ากล่าวตักเตือนเยี่ยงผู้ปกครองทั้งหลาย การว่ากล่าวก็ไม่รุนแรงอะไร เพาะท่านเป็นคนที่อดกลั้นโทสะดีอยู่แล้ว
เมือเสร็จจากการสร้างพระธาตุพระบาทบัวบกแล้ว ท่านก็ข้ามฝั่งโขงไปถือธุดงค์กรรมฐานอยู่ในประเทศลาวและได้สร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท (รอยจำลอง) ที่บ้านโพนสันการสร้างมณฑปของท่านก็สำเร็จบริบูรณ์เป็นอย่าดีและท่านได้อยู่ที่นั่นประมาณ6 ปี ก็มรณภาพที่นั้น เมื่อปี พ.ศ. 2483 สิริอายุได้ 75 ปีพอดี ก่อนมรณภาพท่านได้สั่งไว้ว่า เมื่อเผาศพเสร็จแล้วให้เอากระดูกของท่านทิ้งลงแม่น้ำโขงให้หมด เนื่องจากระหว่างที่ท่านบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์อยู่นั้นท่านปรารถนาพุทธภูมิคือ ให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต