ชื่อโบราณสถานอุโบสถเก่าวัดหัวดง
ที่ตั้งวัดหัวดง ม.๗ บ้านหัวดง ตำบลหัวดง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร
เส้นทางเข้าสู่แหล่งใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๑๓ จากจังหวัดพิจิตรที่จะไปอำเภอตะพานหิน จนถึงประมาณกิโลเมตรที่ ๑๒ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข ๑๓๐๔ บ้านหัวดง
ประวัติความสำคัญในอดีตตามหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรของกรมการศาสนา กล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. ๒๔๑๓ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งหลัง เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๙
โบราณสถานสำคัญ
อุโบสถเก่ามีลักษณะเป็นอุโบสถทรงตึกฐานบัวก่ออิฐถือปูน ขนาดประมาณ ๗ x๑๕ เมตร ตั้งอยู่บนฐานไพทีขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่แม่น้ำน่าน ที่ฐานไพทีด้านหน้าและหลังมีบันไดทางขึ้นสู่ลานพระอุโบสถ ซึ่งมีประตูทางเข้าออกพระอุโบสถทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านละ ๒ ประตู เหนือประตูมีลวดลายปูนปั้นประดับ ระหว่างประตูมีช่องทำเป็นซุ้มไว้ประดิษฐานใบเสมา ที่มุมผนังด้านหน้า พระอุโบสถทั้ง ๒ ด้าน มีแท่นฐานขนาดเล็กวางรูปสัตว์ปูนปั้น เป็นสิงห์ ผนังด้านข้างทั้ง ๒ ด้านมีบานหน้าต่างด้านละ ๔ บาน โดยแต่ละบานมีเสาหลอกหัวเสาเป็นบัวสลับ ที่จั่วด้านหน้าพระอุโบสถมีปูนปั้นรูปเทวดาและเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาประดับ และพื้นที่จั่วระหว่างประตูมีข้อความเขียนไว้ว่า “สร้างเมื่อปีฉลู พุทธศักราชร่วงได้ ๒๔๖๘ พรรษา”ส่วนหลังคาเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องเกล็ดเต่า ใบระกาหางหงส์ทำเป็นปูนปั้นรูปพระยานาค ช่อฟ้าเป็นปูนปั้นรูปครุฑ
ด้านในพระอุโบสถ ส่วนหลังคาไม่มีฝ้าเพดานทำให้เห็นโครงสร้างหลังคาชัดเจน ด้านตะวันตกมีฐานชุกชีขนาดใหญ่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน แต่ปัจจุบันไม่ปรากฏให้เห็น
ด้านนอกโดยรอบพระอุโบสถมีแท่นฐานประดิษฐานใบเสมาสมัยรัตนโกสินทร์ ๘ ทิศ
อายุสมัยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ที่มาข้อมูล : นางสาวอรพิณ การุณจิตต์ นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ
ประวัติความเป็นมา
ประวัติการสร้างอุโบสถเก่าหลังนี้ไม่แน่ชัดเพราะคนเก่าๆที่เหลืออยู่บอกว่าเกิดมาก็เห็นอยู่แล้วแต่ไม่ได้มีสภาพเหมือนที่เห็นในปัจจุบันโดยนายเลิศโพนามาศปัจจุบันอายุ ๙๗ปีได้เล่าว่า เป็นอุโบสถสร้างด้วยไม้ คือเสาเป็นไม้ข้างฝาทำด้วยไม้ขัดแตะแล้วนำจีวรเก่าๆบังแดดบังฝน หลังคามุงด้วยหญ้าแฝกแต่ยังมีประวัติการสร้างพระประธานซึ่งสามารถนำมาเทียบเคียงเพื่อหาอายุของอุโบสถหลังนี้คือประวัติของการหล่อหลวงพ่อเพชรโดยนำประวัติในส่วนนี้มาจากวัดนครชุมโดยได้บันทึกไว้ว่า
เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๙พระครูศีลธรารักษ์ (ยิ้มทัดเที่ยง)ขณะนั้นท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรได้ชักชวนญาติโยมหล่อหลวงพ่อเพชร จำนวน ๒ องค์ ที่วัดเขารูปช้างเพื่อนำไปประดิษฐ์สถานที่วัดนครชุมเพื่อทดแทนหลวงพ่อเพชรองค์เดิมที่ปัจจุบันประดิษฐ์สถานที่วัดท่าหลวงโดยอีกองค์หนึ่งนำมาประดิษฐ์สถานที่อุโบสถวัดหัวดงดังจึงสันนิฐานได้ว่าอุโบสถหลังนี้น่าจะสร้างในระหว่าง พ.ศ.๒๔๔๙นั่นเองเพราะในการสร้างอุโบสถมักจะสร้างพระประธานไปพร้อมกัน
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๓ได้มีพระเถราจารย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน คือ หลวงพ่อพิธได้มาจำพรรษา และได้เห็นว่าอุโบสถได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลาพระภิกษุสามเณรจะทำสังฆกรรม หรือทำวัตรสวดมนต์ก็ได้ลำบากจึงปรารถนาจะบูรณปฏิสังขรณ์จึงได้ปรึกษาญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาโดยในครั้งนั้นมีตามา ยายพริ้ง สดสีได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักโดยบริจาคทุนทรัพย์ของตนเองและชักชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันบูรณอุโบสถนับเป็นการบูรณะครั้งแรกและครั้งใหญ่โดยนายเลิศโพนามาศได้กล่าวว่าได้ทำการสร้างอุโบสถด้วยการก่ออิฐถือปูนครอบหลังเดิมแล้วได้นำเอาเสาของอุโบสถไปทำเป็นขื่อด้านบน หลังคามุงด้วยกระเบื้องในส่วนลวดลายซุ้มประตูหน้าต่างตลอดจนหน้าบรรณให้ช่างชาวจีนเป็นผู้ทำ
โดยในการครั้งนี้นายเลิศได้เล่าว่าในครั้งนั้นมีคนที่อาศัยที่บ้านหัวดงเขาทำงานอยู่ในพระราชวังได้ขอพระราชทานช่อฟ้ามาจากในวังในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๖ โดยพระราชทานช่อฟ้าเป็นรูปปั้นพญาครุฑในขณะนั้นชาวบ้านหัวดงดีใจเป็นอย่างมากได้ร่วมกันตั้งขบวนแห่กันโดยไปตั้งขบวนรับกันที่สถานีรถไฟหัวดงและอันเชิญมาที่วัดหัวดงการบูรณปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้นแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ นับเป็นการบูรณะครั้งที่๑
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓นางเล็ก สุขประเสริฐ,นายบุญล้ำ นางเรียบสุขประเสริฐ,นายสำราญ นางบุญรอด โรจนันท์ พร้อมด้วยบุตรและญาติของตนได้บูรณปฏิสังขรณ์อุโบสถอีกครั้งหนึ่งสิ้นงบประมาณในการบูรณะในครั้งนั้น เป็นจำนวนเงิน ๒๑,๐๐๐บาทเป็นครั้งที่๒
สรรพสิ่งในโลกล้วนตกอยู่ในสภาพความเป็นอนิจจังแม้แต่เสนาสนะที่มั่นคงแข็งแรงก็ย่อมมีวันเสื่อมสลายย่อมชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ พระสุทัสสีมุนีวงศ์ เจ้าอาวาสรูปที่ ๘ได้ชักชวนผู้มีศรัทธาสร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเดิม แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๙โดยได้นำพระประธานจากอุโบสถหลังเดิมไปประดิษฐ์สถานภายในอุโบสถหลังใหม่ในปัจจุบัน
เมือ พ.ศ.๒๕๕๔คุณสุทัศน์ปินตาได้มาพบเห็นช่อฟ้าของอุโบสถแปลกกว่าที่อื่นและมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจควรจะอนุรักษ์ให้เป็นสมบัติของแผ่นดินสืบไปจึงได้ช่วยติดต่อประสานงานกับสำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย และทางสำนักฯได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยว่าจ้าง หจก.เหมลักษณ์ก่อสร้าง จ.สุโขทัยเป็นผู้รับทำ เริ่มสัญญาเมื่อวันที่ ๒๓กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕สิ้นสุดสัญญาวันที่๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕งบประมาณในการบูรณะครั้งนี้ จำนวน ๔,๙๔๙,๐๐๐บาท
ที่มีข้อมูล : พระสุเมฆ สมาหิโต
อื่น ๆ