ชื่อ นายดำริ โกกาพันธ์
ประวัติส่วนตัว เกิดวันที่ - 2498 อายุ 57 ปี ที่อยู่ปัจจุบันเลขที่ 33 หมู่ที่ 5 บ้านคันเปือย ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี 34350 โทรศัพท์ 085-3018406
ความสำคัญ เป็นปราชญ์ชาวบ้านด้านศิลปะการแสดง ดนตรีพื้นบ้าน (แคน) เรียนรู้จากบิดาและจากการสังเกตและศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติม เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุ 7 ปี ลายแคนที่ถนัด ลายสร้อย ลายล่อง ยังไม่มีการถ่ายทอด ไม่ได้ทำเป็นอาชีพแต่เล่นเพือความสนุกสนานและกิจกรรมในชุมชนเท่านั้น
แคนเป็นเครื่องตนตรีที่เก่าแก่ของโลกชนิดหนึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดีของจีนพบว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 2,400 ปี และแคนยังเป็นเครื่องตนตรีที่นิยมแพร่หลายและกระจายอยู่หลายประเทศหลายกลุ่มชั้นทั้งในหมู่ชาวบ้าน และชาวเขา เช่นในประเทศ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และ อินโดนีเซีย เป็นต้น
เดิมที่เข้าใจว่าแคนจะเป็นแหล่งกำเนิดจากที่เดียวกันและมีชื่อเรียกอย่างเดียวกันเพียงแต่ออกเสียงต่างสำเนียงเชื้อชาติของตน เช่น ไทย เรียกว่าแคนชาวแม้วเรียกว่าเก้งจีนเรียกว่าชะอังเกาหลี เรียกแซงและญี่ปุ่นเรียกโซซึ่งอาจจะเรียกตามเสียงของเครื่องตนตรีนั้น ๆ อย่างกรณีเสียงแคนของชาวอีสานจะได้ยินว่าแก่นแล่นแก่นหรือแค่นแลนแค่นเป็นต้น
แคนแบ่งออกเป็นประเภทตามจำนวนของลูกแคน
*1. แคนหก เป็นแคนขนาดเล็กที่สุด ประกอบด้วยคู่แคนหกคู่ (3 คู่ ) เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ที่จะเป่าแล่น เพื่อความเพลิดเพลิน แต่อย่างไรแคนหกก็สามารถที่จะเล่นเพลงที่มีห้าเสียง คือ จะเป่าลายน้อยและลายโป้ซ้าย ซึ่งเป็นเพลงหลักของแคนได้
*2. แคนเจ็ด เป็นแคนขนาดกลางประกอบด้วยคู่แคน7 คู่ปัจจุบันนิยมใช้เหมือนเมื่อก่อนแคนเจ็ดนี้คนในภาคกลางนิยมเล่นเป็นแคนวง สำหรับบรรเลงเพลงไทยเดิม
*3. แคนแปดเป็นแคนที่นิยมที่สุดในภาคอีสาน ประกอบด้วยกู่แคน8 คู่และนับเป็นแคนขนาดกลางเช่นเดียวกับแคนเจ็ด เพียงแต่เพิ่มไม้กู่แคนขึ้นอีก1 คู่
*4. แคนเก้า มีขนาดใหญ่ที่สุดและยาวที่สุด ประกอบด้วยไม้กู่แคนเก้าคู่ มีความยาวประมาณ 2 เมตรครึ่ง และผู้เขียนยังเคยได้ยินว่าเมื่อก่อนนี้แคนเก้ามีความยาว 5 เมตร
ขั้นตอนการผลิต
ชาวบ้านจะไปตัดไม้เฮี้ยจากบนภูเขาไปขายให้แก่ช่างแคน เดิมก็ใช้เกวียนบรรทุกไป แต่ปัจจุบันใช้รถบรรทุกขนไป ราคาขายปลีกมัดละ 10 บาท มัดหนึ่ง ๆ ชาวบ้านเรียกว่า“หลาบ”ละ16 กู่ซึ่งใช้ทำแคนได้ 1 เต้า(ส่วนมากเรียก “ดวง”)
เมื่อช่างแคนได้ไม้กุ่แคนมาแล้วก็จะตากให้แห้ง จึงนำมาเจาะทะลุข้อและคัดให้ตรงแล้วคัดเป็นท่อนตามขนาดที่ต้องการใช้ ต่อจากนี้ก็เจาะลิ้น รูแพว
สำหรับลิ้นนั้นทำจากโลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง หรือโลหะผสม คือ ทองแดงผสมเงินซึ่งจะมีช่างโลหะโดยตรงเป็นผู้ผสมและตีเป็นมาตรฐานมาให้ช่างแคน ช่างแคนก็จะนำมาตัดเป็นเส้นและตีให้เป็นแผ่นบางๆให้ได้ขนาดที่จะสับเป็นลิ้นแคน นำลิ้นแคนไปสอดใส่ไว้ในช่องรูลิ้นของกู่แคนหรือลูกแคนแต่ละลูก
เต้าแคนช่างแคนทำจากไม้ประดู่หรือไม้นำเกลี้ยง(ไม้รัก)ถ้าเป็นไม้ประดู่คู่นิยมใช้รากเพราะตัดหรือปาดง่ายด้วยมีดตอก ใช้สิ่วเจาะให้กลวงเพื่อเป็นที่สอดใส่ลูกแคนและเป็นทางให้ลมเป่าผ่านไปยังลิ้นแคนได้สะดวก
เมื่อสอดใส่ลูกแคนเข้าไปในเต้าแล้วต้องใช้ขี้สูตรหรือขี้แมงน้อยก็เรียกขี้สูตรนี้เข้าใจว่าเป็นพวกสารพวกขี้ผึ้งดำได้จากรังของแมลงชนิดหนึ่ง คล้ายมิ้มหรือผึ้งเล็กแมลงชนิดนี้ชาวบ้านเรียกว่าแมงน้อยหรือแมงขี้สูตร
เดิมทีเดียวคงเรียกว่าแมงน้อยแต่เมื่อนำมาเป็นชันอุดและเชื่อมลูกแคนเข้ากับเต้าแคนและใช้สำหรับปิดรูนับรูเสียงเสพหรือที่ชาว ผู้ไทยเรียกเสียงกล่อม ทำให้เป่าแคนเป็นทำนองลีลาต่างกันออกไป เกิดเป็นสูตรเพลงแคนขึ้นมาเป็นลายน้อยลายใหญ่และอื่น ๆ ขึ้นมา ขี้แมงน้อยก็กลายเป็นขี้“สูตร”แทนคำว่า“ขี้สูด”บังคับให้เกิด“สูตร”เพลงแคนขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงใช้คำว่า“ขี้สูตร”แทนทำว่า “ขี้สูด”
ผู้เก็บรวบรวมข้อมูล นางภัคจิรา มูลศรี นักวิชการวัฒนธรรมชำนาญการ