ศาลเจ้าพ่อศรีสงคราม
อยู่ในหมู่ที่ 9 ตำบลวังสะพุง ชาวบ้านได้สร้างเป็นรูปปั้นจำลองประดิษฐานในศาลของเจ้าพ่อศรีสงคราม และตั้งศาลภายในวัดศรีบุญเรืองอีกศาลหนึ่ง ตามประวัติเล่าว่า นายทหารชื่อ หลวง ศรีสงคราม ตามคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายเล่าสืบทอดกันมาว่าท่านกลับมาจากรบทัพ ล้านช้าง หลวงพระบางเวียงจันทร์ ท่านมาเห็นภูมิประเทศดีมีลำน้ำไหลตลอดปี มีที่ราบริมฝั่งน้ำมากเหมาะที่จะทำการเพาะปลูกทำไร่ทำนาได้ ประกอบกับพื้นที่มีรอยเป็นบ้านเมืองมาก่อนคือหลักวางอยู่กลางทุงนาชาวบ้าน ใกล้ ๆ กุดจับ (กุดจับคือหนองน้ำเป็นคลองยาวมีน้ำขังตลอดปีภาษาถิ่นเรียกว่ากุดหรือบุ่ง ) ท่านจึงตั้งชื่อบ้านและให้ชื่อ บ้านนาหลัก ( เอาตามหลักเสมาเก่าทั้งสามหลักกลางทุ่งนาชาวบ้านผสมกันเป็นนาหลักเรียกว่าบ้านนาหลัก)
ท่านพ่อหลวงศรีสงคราม ท่านคงเอานากับหลัก มาตั้งเป็นชื่อบ้านนาหลัก หลักที่ว่านี้เป็นหลักหินรูปเหมือนใบเสมา เป็นหินทรายหยาบหนาประมาณ 20 เชนติเมตรกว้างประมาณ 50 เชนติเมตร ยาวประมาณ 85 เซนติเมตร 3 หลัก อยู่ห่างกันประมาณ 90 วา อยู่คนละมุมห่างกันเป็นลักษณะสามเหลี่ยมก้อนเส้าเมื่อเทียบกับปัจจุบันคงครอบถนนสายเลี่ยงเมืองวังสะพุงด้วยแต่หลักเสมาทั้งสามหลักถูกเจ้าหน้าที่กรมศิลป์จากกรุงเทพฯพิสูจน์และนำลงไปไว้กรุงเทพมหานครแล้ว เมื่อ พ.ศ. 2506 จึง ไม่มีหลักเสมาไว้ให้ลูกหลานได้ดูเป็นหลักฐาน เป็นเพียงเล่าต่อกันมาเท่านั้น (กิ่ง เหตุเกษ.สัมภาษณ์ : 2535) ต่อมา นายธวัชชัย เร่งสมบูรณ์ ผู้จัดการโรงหีบฝ้ายวังสะพุง สร้างหลักเมืองหรือศาลหลักเมืองแทน ในอาณาเขตดินแดนที่ใบเสมาสามหลักเคยอยู่เป็นสามเหลี่ยม เพราะเหตุที่ผู้สร้างเจ็บป่วยเป็นอัมพรึก ก็เลยบนบานศาลกล่าว ถ้าหายเจ็บป่วยจากการเป็นอัมพรึกในครั้งนี้ จะสร้างหลักเมืองหรือศาลให้เป็นที่สักการะบูชาของลูกหลายชาวอำเภอวังสะพุงสืบไป เมื่อบนบานแล้วอาการทุเลาและหายในที่สุด จึงสร้างเสาหลักเมืองเมื่อ พ.ศ. 2518 เพื่อแก้บน ที่ปัจจุบันติดเส้นทางหมายเลข 201 บ้านนาหลัก อยู่ตรงข้ามกับวัดป่าหลักเมืองแสงธรรม เป็นหลักฐานมาจนปัจจุบันนี้ เคยมีคนมาแก้บนเอาหนังมาฉายก็มีเป็นบางครั้ง