ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 17° 28' 39.216"
17.47756
ลองจิจูด (แวง) : E 101° 43' 59.16"
101.7331
เลขที่ : 168882
หลวงปู่เทียน
เสนอโดย MoCSpecial วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555
อนุมัติโดย ศูนย์ข้อมูลกลาง วันที่ 30 พฤศจิกายน 2555
จังหวัด : เลย
0 2304
รายละเอียด

๑.ชาติกำเนิด
หลวงพ่อเทียน จิตตุสุโภ มีนามจริงว่า พันธ์ นามสกุล อินทผิว เกิดที่บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัด เลย เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๔ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน สิบ ปีกุน บิดาชื่อนายจีนและนางโสม อินทผิว หลวงพ่อเทียนมีชีวิตในวัยเด็กเช่นเดียวกับเด็กชาวบ้าน ในท้องถิ่นชนบทห่างไกลความเจริญโดยทั่วไป คือ ตื่นเช้าก็ไปช่วยพ่อแม่ทำนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ตกเย็นก็ไล่ต้อนควายเข้าคอกกลับบ้านของตน ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาเรียนหนังสือที่โรงเรียน
๒.การบรรพชาและอุปสมบท
เมื่อพ.ศ.๒๔๖๕ หลวงพ่อเทียน มีอายุได้ ๑๐ ขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดบรรพตคีรี บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาย จังหวัดเลย โดยมีพระผอง จันทร์สุข (มีชื่อนิยมเรียกในสมัยนั้นว่า ยาคูผอง) เป็นหลวงน้าของท่านซึ่งไปเรียนมาจากจังหวัด อุบลราชธานี ได้มาขอกับบิดามารดาของท่านให้ท่านไปบรรพชาเป็นสามเณรคอยรับใช้ เรียกในสมัยนั้นว่าเณรใช้ เป็นเวลา ๑ ปี ๖ เดือน
ปีพ.ศ. ๒๔๗๔ เมื่ออายุครบการอุปสมบท หลวงพ่อก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ อยู่กับหลวงน้า คือ พระผอง จันทร์สุข อีกครั้ง โดยมีพระครูวิชิตธรรมจารย์ เจ้าคณะอำเภอเชียงคานเป็นพระอุปัชฌาย์และอยู่ประจำที่ วัดภูหรือวัดบรรพคิรี บ้านบุฮม ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย การอุปสมบทครั้งนี้ ท่านได้ครองสมณะอยู่เป็นเวลา ๖เดือนก็ได้ลาสิขาบท
๓.การประกอบอาชีพและการครองเรือน
หลังจากลาสิขาบทแล้ว นายพันธ์ อินทรผิว ก็ได้สมรสกับนางหอม อินทผิว มีบุตร๓คนยึดอาชีพทำนา ทำสวน และค้าขายขึ้นล่องระหว่างจังหวัดหนองคาย และอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย การค้าขายได้ผลดีขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ท่านก็ไม่มีความพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่แม้เวลานอน ก็ยังคิดถึงแต่เรื่องเงินทอง
๔.เป็นนักแสวงบุญ
หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่า ในระหว่างที่ได้ครองเรือน ท่านได้เป็นผู้แสวงบุญโดยได้เป็นผู้นำชาวบ้านทำบุญเสมอมา ในเวลาต่อมาท่านได้เป็นผู้ใหญ่บ้านมีคนเคารพนับถืออยู่ ท่านได้ชักชวนญาติพี่น้องเพื่อนบ้านในการทำบุญ เช่น มีการแจกข้าวตอนจำพรรษา มีการทอดกฐิน มีการทำบุญประจำปี คือการทำบุญบั้งไฟ ในเดือน๕ หรือ เดือน ๖ การทำบุญมหาชาติ การเทศน์มหาชาติ การทำบุญสังฮอม(สังรวม)ธาตุ เป็นต้น
๕.สาเหตุที่ออกแสวงหาสัจธรรม
หลวงพ่อเล่าว่าครั้งหนึ่งคนหนึ่งคนที่เมืองลาวมาขอให้ท่านนำกฐินไปทอดที่เมืองลาว ในครั้งนั้นมีการทำกฐินถึง ๕ กองเนื่องจากมีหลายบ้านขอร่วมไปทอดด้วย และในการทำกองกฐินจะต้องมีมหรสพให้คนชม
หลวงพ่อได้ตกลงกับภรรยาไว้แล้วว่า การใช้จ่ายต่างๆและการจัดหาอาหารให้แขก ยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยาท่านตัวท่านเองจะรับอุโบสถศิลและรับแขกทางไกล ครั้งเวลาเช้าภรรยาท่านมาถามว่าจะต้องจ่ายเงินค่าหมอลำเท่าไร ท่านรู้สึกโกธรมาก ท่านเล่าว่า มันหนักจนลุกแทบจะไม่ได้มันตำเข้าไปในใจ แต่ท่านข่มอารมณ์ไว้มิได้แสดงให้ภรรยาของท่านทราบกลับตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าเป็นหน้าที่ของภรรยาท่าน แต่ความโกรธนั้นยังอยู่ในใจของท่าน
หลังจากนำกฐินไปถวายที่ฝั่งลาวและได้กลับมารับประทานข้าว.......มันหายไป !
๖.ตัดสินใจออกไปปฎิบัติธรรม
หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อหลวงพ่ออายุได้ ๔๐ ปีเศษ ท่านเลิกทำการค้าขายโดยเด็ดขาด ไม่มีงานการอะไรต้องทำท่านจึงได้เฝ้าครุ่นคิดอยู่เสมอว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปด้วยมีแต่บาปกับบุญ ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจออกปฎิบัติธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์ให้ได้ ท่านบอกความตั้งใจของท่านแก่ภรรยา ภรรยาของท่านจึงได้จัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้ท่าน ท่านไม่ได้บอกภรรยาของท่านว่าจะไปอยู่ที่ใดและจะไปนานเท่าไร หากไม่ตายเสียก่อนก็จะกลับมาอีก
เมื่อหลวงพ่อไปถึงตำบลพันพร้าว อำเภอท่าบ่อ ซึ่งเป็นอำเภอศรีเชียงใหม่ ปัจจุบัน ท่านจึงได้ทราบว่า เพื่อนของท่าน คือ มหาศรีจันทร์ ที่ท่านตั้งใจจะมาศึกษาธรรมด้วย ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่หลวงพระบาง สาธารรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีหลวงพ่อวันทองที่แต่เดิมเคยเป็นปลัดอำเภอ ปลดเกษียณแล้วจึงได้มาบวชเป็นพระ มีพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งชื่อพระอาจารย์ปาน เป็นผู้สอนอารมณ์ปฏิบัติให้หลวงพ่อ อาจารย์ปานผู้นี้ท่านเป็นชาวลาว อยู่ที่สุวรรณเขต ได้ไปเรียนวิชาติงนิ่ง (การเจริญสติโดยวิธรการเคลื่อนไหว ประกอบคำบริกรรมติง-นิ่ง เมื่อเคลือนมือให้บริกรรม ติง เมื่อหยุดให้บริกรรม นิ่ง ) แต่หลวงพ่อคิดว่าการทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากวิธีที่เคยฝึกมาท่านจึงใช้วิธีทำความรู้สึกตัว คือ เมื่อเคลื่อนมืออยู่หรือหยุดก็ให้รู้สึกเท่านั้น โดยไม่ได้บริกรรมแต่อย่างใด
๗. รู้อารมณ์รูปนาม (ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๘)
พอประมาณตีห้า พอดูลายมือเห็นนี่แหละยังไม่สว่างดี มันเป็นทุ่งนาที่ๆไปทำนั้น,นั่งอยู่ คราวนั้นนุ่งกางเกงขาสั้น นั้งพับเพียบ,มีแมงป่องตัวนึงตกลงมามันตกลงมาบนขา เป็นแมงป่องแม่ลูกอ่อน ลูกแมงป่องก็ตกลงมามันตกลงมาใส่ขา อาตมาแล้ววิ่งไปตามขาก็นั่งดูไม่ตกใจ เห็นรู้แล้วเข้าใจทันที รูปนาม เข้าใจจริง ๆ บัดเดี๋ยวนั้นเลย เข้าใจเรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องรูปทำ – นามทำ รูปโรค – นามโรค เข้าใจ ทุกขัง- อนิจจัง – อนัตตา เข้าใจเรื่องสมมุติศาสนา-พุทธศาสนา บาป-บุญ ต้นเหตุของบาป-ต้นเหตุของบุญเข้าใจจริง ๆในช่วงระยะสั้น,แว้บ-ขึ้นมาครั้งเดียวเท่านั้น,มันรู้จริงๆเข้าใจซาบซึ้งโดยไม่เก้อเขิน-รู้ตรงนี้ รูปพุทธศาสนาคือรู้ที่ตัวเรา
๘.ประจักษ์แจ้งสัจจะ (ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ )
ตอนเช้ามืด ขณะที่ผมเดินไปเดินมาอยู่ มีตะขาบตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าผม ที่นั้นไม่มีไฟฟ้า มีเพียงเทียนไข ที่จุดตั้งไว้ตรงนั้น ตรงนี้สำหรับเดินจงกรม,ผมไปเอาไฟ(เทียนไข)มาส่องดูแต่ไม่เห็นตะขาบ คงไปไกลแล้ว,ตะขาบนี้เคยกัดนานแล้ว เจ็บ-จำได้ เมื่อไม่เห็นผมก็มาเดินดูความคิดของตัวเองต่อ บัดเดี๋ยวนั้นมันคิด-วูบ-ขึ้นมา จิตใจผมรู้ รู้จักศีล ศีลที่รู้จักขึ้นมานั้น ศีลแปลว่าปกติ ไม่ใช่ศีลห้า หรือ ศีลแปด ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด อย่างที่ผมเลยสมาทานรักษาศีลมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆนั้น บัดนี้จึงเข้าใจว่า ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ ,สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด ตามตำราว่าไว้อย่างนี้ ตอนนี้ผม , เพราะกำจัดกิเลสอย่างหยาบได้แล้ว ศีลจึงสมบูรณ์-รู้อันที่จริง,ศีลสมบูรณ์นั้นก็คือตัวสมาธิ-ตัวปัญญา นั้นแหละ
เมื่อจิตใจเปลี่ยนไปนั้น ผมยังเดินไปเรื่อย ๆ เมื่อผมรู้สึกอย่างนั้นแล้ว จิตใจมันจืด – คล้ายกับเราถอนผมออกจากหัว มันเอาไปปลูกอีกไม่ได้ จะเอากลับไปเข้ารูเดิมก็ไม่ได้ หรือคล้ายกับเอาน้ำร้อนไปลวกหนังหมู มันซีดขาวจืดไปหมด,หรือเปรียบเหมือนเราเอาสำลีไปชุบน้ำ ยกขึ้นมาบีบออก หนทางเดียวเท่านั้นมันจืดออกไปหมดจริง จิตใจนี้ก็เหมือนกัน เรื่องของความคิดนั้น จึงขอให้ดูความคิดให้เห็นความคิดแต่อย่าไปห้ามความคิด คิดปุ๊บตัดปั๊บเลย อันนี้แหละปัญญา , ไม่มีตะกอน ซึ่งก็คือตัวชีวิตจิตใจจริง ๆ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันอยู่ของมันเฉย ๆ ซึ่งมันมีอยู่แล้วในทุกคนจะเห็นจะรู้จะเข้าใจได้ก็ตามวิธีการของพระพุทธเจ้านี้
ลุวันขึ้น๑๒ค่ำเดือน๘ พุทธศักราช ๒๕๐๐ พระสัจธรรมอันลึกซึ้งได้ปรากฏแก่อุบาสกพันธ์ อินทรผิวภายในคืนเดียวไม่มีครูปราศจากพิธีตรีตรองต่างๆ ดังเช่นที่ปรากฏกับพระพุทธองค์ นับตั้งแต่นั้นมา พันธ์ อินทรผิวได้อนุเคราะห์ผู้คนด้วยกลวิธีอันท่านเรียกว่า อึดใจเดียว โดยไม่ขึ้นกับ เชื้อชาติ สัญชาติ เพศ วัย ความรู้ จนถึงบัดนี้ นับเป็นเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว ภายใต้นามของ หลวงพ่อ เทียน จิตฺตสุโภ.
(ลายมือท่าน)
มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖
๙ .เหตุการณ์หลังรู้ธรรมะ
เมื่อหลวงพ่อกลับถึงบ้าน ท่านได้เปิดอบรมขึ้นเป็นเวลาแก่สิบกว่าวัน ท่านได้เล่าว่าท่านเสียสละเพื่อสิ่งนี้จริง ท่านเตรียมข้าวปลาอาหารไว้รับรองสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมด้วยทุนรอนของท่านเองและท่านคิดว่าเงินทองของตน จะสามารถใช้จ่ายค่าอาหารสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมได้เป็นเวลา ๓ ปี ในการอบรมครั้งแรกมีผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๓๐ถึง๔๐คนมีทั้งพระสงฆ์ฆราวาส เจ้าคณะจังหวัดเลยและเจ้าคณะจังหวัดหนองคายได้เดินทางมาร่วมในการอบรมด้วย เมื่อท่านทั้งสองเดินทางกลับไปแล้ว หลวงพ่อก็เป็นผู้สอนการปฏิบัติ มีผู้รู้ธรรมเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อเล่าว่าคนที่ไม่เห็นชอบด้วยก็มี แต่ท่านไม่สนใจท่านคิดว่าเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเราท่านไม่หวั่นไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครทั้งหมด
๑๐.นางหอมรู้ธรรมะ
ภรรยาของท่านได้ปฏิบัติธรรมได้เป็นเวลา๒ปีกว่าก็เข้าใจสัจธรรมหลวงพ่อเล่าว่าขณะนั้นภรรยาของท่าน กำลังเก็บผักอยู่ในสวนครัวเพื่อจะมาต้มรับประทานตอนกลางวันเก็บได้ไม่เท่าใดก็พูดขึ้นว่า “โอ้ย! ข้อยเป็นหยั่งหว่า” หลวงพ่อท่านถามว่าเป็นอย่างไร ภรรยาของท่านก็ตอบว่า “หมดตัวแล้ว มันจืดหมด จับแขนดูซิ” หลวงพ่อก็บอกกับภรรยาของท่านว่า “เอ้า! อย่าไปดูมันอย่างนั้น ทำสบายๆ อย่าไปยุ่ง” ภรรยาของท่านบอกว่า “มันหดไปหมดตัว เหมือนเนื้อถูกเกลือ” หลวงพ่อจับแขนของภรรยาของท่าน ภรรยาของท่านก็บอกว่าสบายแล้วท่านจึงบอกว่า “อย่าไปยุ่งมัน ความทุกข์มันมีที่ตัวเราเอง ” ภรรยาของท่านได้บอกท่านว่าสบายแล้ว
๑๑.อุปสมบทครั้งที่สอง
ท่านอุปสมบทเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่๓กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๓ที่วัดศรีคุณเมือง ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีพระครูวิชิตธรรมจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการชุนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสุบรรณ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุได้ ๔๘ ปี เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว หลวงพ่อได้ทำหน้าที่ของท่านคือสอนธรรมะให้แก่พระสงฆ์และญาติโยม ท่านมักจะถามผู้ที่ได้พบปะสนทนาว่าเขาผู้นั้นทุกข์ร้อนอะไรมาบ้าง ถือพระพุทธศาสนามาแล้วรู้สึกความทุกข์ลดน้อยลงไหม หากยังเป็นทุกข์แสดงว่ายังไม่เข้าใจหลักพระพุทธศาสนา เพียงเข้าใจหลักศีลธรรมศาสนาศีลธรรม ยังไม่ใช่ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา


๑๒. สร้างหลักนักปฏิบัติธรรม
พรรษาที่๕ พ.ศ. ๒๕๐๗ วัดโนนสวรรค์ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย
พรรษาที่๖พ.ศ. ๒๕๐๘ วัดบรรพตศีรี บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
พรรษาที่๗ –๑๑ พ.ศ. ๒๕๐๙ ถึง ๒๕๑๓ วัดป่าพุทธสถาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย
พรรษาที่๑๒ – ๑๔ พ.ศ. ๒๕๑๔ ถึง ๒๕๑๖ วัดโมกวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดเลย
พรรษาที่๑๕ พ.ศ. ๒๕๑๗ เวียงจันทร์ ประเทศลาว
พรรษาที่๑๖ – ๑๗ พ.ศ.๒๕๑๘ – ๒๕๑๙ วัดชลประทาน อำเภอปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี
พรรษาที่๑๘ – ๑๙พ.ศ.๒๕๒๐ – ๒๕๒๑ วัดสนามในอำเภอบางกรวย จังหวัด นนทบุรี
พรรษาที่๒๐ พ.ศ ๒๕๒๒ วัดสวนแก้ว อำเภอ บางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี
พรรษาที่๒๑ – ๒๒พ.ศ.๒๕๒๓ – ๒๕๒๕วัดสนามใน อำเภอบางกรวย จังหวัด นนทบุรี
พรรษาที่๒๓ – ๒๔พ.ศ.๒๕๒๖ วัดโมกวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดเลย
พรรษาที่๒๕ – ๒๘พ.ศ.๒๕๒๗ – ๒๕๓๐ วัดสนามใน อำเภอบางกรวย จังหวัด นนทบุรี
พรรษาที่๒๙พ.ศ.๒๕๓๑ สำนักทับมิ่งขวัญ ถนนเจริญรัฐ อำเภอเมือง เลย จังหวัดเลย
๑๓. เผยแพร่ธรรมะที่สิงคโปร์
เป็นการพบปะกันเป็นครั้งแรกระหว่างอาจารย์ธรรมะที่ยิ่งใหญ่สองท่านจากพระพุทธศาสนาสองสาย ซึ่งมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน คือ หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของไทยและท่านยามาดะ โรชิ (Yamada Roshi) อาจารย์เซนผู้มีชื่อเสียงจากประเทศญี่ปุ่น และได้มีการสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะคติต่อกัน ในครั้งนั้นใครๆ ก๊ปฏิเสธไม่ได้ว่านักปฏิบัติฝ่ายเซ็นที่สิงคโปร์แทบทั้งหมด ได้เห็นบางอย่างในตัวหลวงพ่อเทียนอย่างเด่นชัด อันเป็นเหตุให้หันมาติดตามและเป็นสานุศิษย์ของท่านโดยสมัครใจ สิ่งที่เซนใฝ่ฝัน หลวงพ่อเทียนได้ช่วยให้เขารู้ความจริงที่ยิ่งกว่า นอกจากกลุ่มเซนแล้วยังมีบทหลวงหนุ่มผู้ใฝ่หาความจริงและอิสรชนจำนวนหนึ่งได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่ออยู่เงียบๆทั้งที่สิงคโปร์,ออสเตรเลีย และฮาวาย

๑๕. อาพาธ
หลวงพ่อเริ่มมีการการอาพาธด้วยโรคมะเร็งมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยท่านมีอาการอาพาธปวดท้องอยู่เนื่องๆ ในระหว่างที่ท่านไปโปรดลูกศิษย์ที่ประเทศสิงคโปร์ ครั้งเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๒๕นั้นท่านมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงโดยต้องนอนพักทันทีที่ได้มาถึงห้องพักหลังจากนั้นที่ท่านได้เดินจงกรมบนถนนหน้าบ้านพักท่านได้เกิดอาการป่วยอีกครั้งและจากนั้นจึงจำเป็นต้องนำตัวหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลสิงคโปร์ ถึงอย่างนั้นท่านยังคงเมตตาสั่งสอนชาวสิงค์โปรผู้สนใจในการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด และในคราวที่ท่านรับนิมนต์ไปโปรดชาวสิงค์โปรครั้งที่สอง เดือนตุลาคม ในปีเดียวกันนั้น อาการโรคมะเร็งในกระเพาะได้ปรากฏขึ้นอย่างเฉียบพลัน ท่านจึงจำเป็นต้องเดินทางกลับเพื่อเข้ารับการรักษาผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์ชาวสิงคโปร์
๑๖.ละสังขาร
วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๓๑ หลวงพ่อเดินทางกลับทางจากจังหวัดเลยโดยมีศิษย์เป็นภิกษุและฆราวาสกลุ่มหนึ่งไปส่งท่านในขณะนั้นอาการของหลวงพ่อทรุดหนักเป็นที่น่ากังวลว่าร่างกายจองท่านอาจไม่สามารถทนต่อความกระทบกระเทือนในการเดินทางได้เมื่อเดินทางถึงทับมิ่งขวัญ จังหวัดเลย หลวงพ่อปฏิเสธที่จะฉันยาทุกชนิด แม้ว่าหลวงพ่อจะมีวิบากสังขารหนักหนาเพียงใดท่านก็ยังมีเมตตาแสดงธรรมโปรดญาติโยมและศิษย์ที่เฝ้าอยู่ณที่นั้น
วันอังคารที่๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลา ๑๘.๑๕ น. หลวงพ่อได้ละสังขารอย่างสงบ ณหลังคามุงแฝกของเกาะพุทธธรรม ทับมิ่งขวัญ สถานที่ที่หลวงพ่อได้ทุ่มเท แรงกายใจในช่วงสุดท้ายของชีวิตก่อตั้งขึ้นมา สิริอายุได้ ๗๗ปี และได้ใช้เวลาอบรมสั่งสอนธรรมะแก่คนทั้งหลายเป็นเวลา ๓๑ ปี
นับว่าเป็นพระเถระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นอาจารย์ของชาวจังหวัดเลย นับว่าเป็นแก้วมณีแห่งอีสานท่านหนึ่งในหลายท่านแม้ว่าเกียรติประวัติของท่านทางด้านคันถธุระ จะมีปรากฏไม่มากนักแต่ท่านหนักทางด้านวิปัสสนาธุระและเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง ชื่อเสียงของท่านขจรกระจายไปทั่วสารทิศ ศิษยานุศิษย์ของท่านมีมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์

หลวงปู่เทียน จิตตสุโภ เกิดที่บ้านบุโฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๕๔ วันอังคาร เดือน ๑๐ ปีกุน ขึ้น ๑๓ ค่ำ บิดาของท่านชื่อ จีน มารดาชื่อโสม อินทผิว นามจริงของท่านว่า พันธ์ อินทผิว เหตุที่รู้จักท่านในนามหลวงพ่อเทียน เพราะเรียกตามชื่อลูกหัวปีของท่าน ภรรยาของท่านชื่อ หอม ก็ได้รับการเรียกขานว่า แม่เทียน ตามชื่อลูกคนหัวปีเช่นเดียวกัน

ปฐมวัย หลวงปู่เทียนมีชีวิตในวัยเด็ก เช่นเดียวกับเด็กชาวบ้านในท้องถิ่นชนบทที่ห่างไกลความเจริญทั่วไป เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ประมาณ ๑๐ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่

วัดภู หรือวัดบรรพตคีรี ใกล้บ้านเกิด ระหว่างเป็นสามเณรได้สนใจศึกษาฝึกกรรมฐานและสนใจศึกษาเวทมนต์คาถาอาคม เช่น คาถาไส้หนังบังควัน วัวธนูดูหน้าน้อย ซึ่งเป็นคาถาอาคมไล่ผี อยากมีความรู้ทางไสยศาสตร์ อยากมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะได้ หายตัวได้ ย่อแผ่นดินได้ ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ใช้ชีวิตเป็นสามเณร ๑ ปี ๖ เดือน ก็ลาสิกขาบท ต่อมาเมื่ออายุครบอุปสมบท จึงได้เข้ามาบวชอีกครั้งหนึ่งและบวชเป็นพระอยู่ได้ ๖ เดือน ก็ได้ลาสิกขาบท ไปเป็นฆราวาสครองเรือน แต่ได้สนใจปฏิบัติธรรมและทำบุญเสมอมามิได้ขาด

หลวงปู่อุปสมบทครั้งที่ ๒ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงปู่ได้ปฏิบัติและรู้ธรรมตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส หลวงปู่บวชเป็นพระครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓ ที่วัดศรีคุณเมือง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีพระอธิการสุบรรณ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขณะนั้นหลวงปู่มีอายุได้ ๔๘ ปี

เมื่อได้บวชเป็นพระแล้วหลวงปู่ได้ทำหน้าที่เป็นพระอย่างเต็มกำลัง เป็นเวลากว่า ๓๐ ปี ที่หลวงปู่ได้มานะบากบั่นอบรมสั่งสอนธรรมะแก่เพื่อนมนุษย์ โดยมิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยากและอุปสรรคใด ๆ ปฏิปทาข้อนี้ของท่านย่อมเป็นที่ซาบซึ้งใจแก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี

ผลงานด้านการเผยแพร่ธรรมะของหลวงปู่นั้น ได้มีศิษยานุศิษย์จัดพิมพ์ไม่ต่ำกว่า ๔๓ เล่ม เช่น วิธีปฏิบัติธรรมทางลัดการเจริญสติสว่างที่กลางใจ ความรู้สึกตัว ธรรมะแท้ต้องรู้อย่างเดียวกัน พลิกโลกเหนือความคิด การประจักษ์แจ้งสัจจะรู้อย่างไม่รู้ รู้อย่างผู้รู้ ความหลุดพ้น เป็นต้น บุคลิกภาพ อุปนิสัย และปฏิปทาของหลวงปู่ น่าเคารพเลื่อมใสมาก มีความปกติกาย ปกติใจอย่างเห็นได้ชัด เรียบง่ายและมีความเกรงใจผู้อื่นเป็นนิจ มีความกตัญญูต่อบุคคลที่ได้เคยช่วยเหลือเกื้อกูลท่าน ท่านมีความระลึกถึงและหาโอกาสตอบแทนความดีของบุคคลเหล่านั้นอยู่เสมอ หลวงพ่อมีความอ่อนโยนและเกรงใจผู้อื่นแต่ท่านก็มีความมั่นคงและเด็ดขาด นี่เป็นคำกล่าวของผู้ที่มีโอกาสใกล้ชิด ประพฤติ ปฏิบัติธรรม และอุปัฏฐากหลวงปู่

หลวงปู่เริ่มมีอาการอาพาธด้วยโรคมะเร็งมา ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยมีอาการปวดท้องอยู่เนืองเนืองและได้รับการผ่าตัดครั้งแรกในปีนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๙ หลวงปู่ได้รับการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง อาการอาพาธของหลวงปู่ได้ทรุดหนักลงเรื่อย ๆ และสุดท้ายหลวงปู่ก็ได้ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันอังคารที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๘.๑๕ น. ณ ศาลามุงแฝกของเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ สถานที่ปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ สร้างในช่วงสุดท้ายของชีวิตสิริรวมอายุได้ ๗๓ ปี

สำหรับแนวคิดและวิธีการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ ได้แก่ การเคลื่อนไหวโดยการสร้างจังหวะโดยเอาสติไว้ที่ฝ่ามือสลับเปลี่ยนระหว่างมือขวาและมือซ้าย ด้วยการยกขึ้นประสานที่อกสลับกันไปมา และการเดินจงกรม โดยมีสติอยู่ที่เท้า ซึ่งการมีสติอย่างนี้มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์เพราะเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน และจัดเป็นวิปัสสนา กรรมฐานอีกแบบหนึ่ง

คำสำคัญ
หลวงปู่ เทียน
หมวดหมู่
ศาสนสถาน
สถานที่ตั้ง
อำเภอ เมืองเลย จังหวัด เลย
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่