การทำต้นผึ้งนั้นถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีความเชื่อที่สืบทอดกันมาสู่รุ่นลูกหลาน สามารถพบได้ใน หลายๆ พื้นที่ของภาคอีสานและภาคเหนือ ตามความเชื่อที่ว่าการถวายต้นผึ้งแด่พระสงฆ์หรือผู้ดูแลวัดเพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นการอุทิศกุศลผลบุญให้แก่ผู้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ดอกผึ้งก็จะถูกเก็บรวบรวมเอาไว้จะถูกนำมาหลอมหล่อเป็นเทียนพรรษา ซึ่งถือเป็นกุศโลบายของคนในอดีตเพื่อจะได้ให้พระภิกษุสงฆ์สามเณรได้ใช้จุด ให้แสงสว่างใช้ในการทำวัตร เช้า – เย็น อ่านบทสวดมนต์และเรียนหนังสือพระธรรมวินัยของสงฆ์ต่อไปนั่นเอง กรรมวิธีการทำดอกผึ้งนั้น เริ่มจากการนำก้อนขี้ผึ้งหรือเทียนไปต้มให้ร้อนจนละลายเป็นน้ำ แล้วนำเอาแม่พิมพ์ที่ทำขึ้นจากผลไม้ เช่น มะละกอลูกเล็ก ๆ หรือผลสิมลี (สิมพี, ส้มพอดี,โพธิสะเล) มา คว้านภายใน แกะสลักแต่งให้เป็นแบบรูปดอกไม้ หรือเป็นแฉกตามแต่จะประดิษฐ์คิดออกมา จากนั้นก็นำลงจุ่มในขี้ผึ้งเหลวแล้วนำลงไปแช่น้ำ ขี้ผึ้งที่แข็งแล้วก็จะหลุดออกร่อนจากพิมพ์เป็นดอกดวง ตามแบบ ดอกผึ้งที่ได้จะถูกนำมาประดับบนต้นปราสาทที่ทำขึ้นจากการผูกแกนไม้ไผ่เข้า ไว้เป็นโครงร่างมีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส แล้วมัดรวมยอดปลายแหลมเหมือนยอดเจดีย์ หุ้มแกนไม้ไผ่ด้วยกาบกล้วย ในสมัยโบราณขึ้ผึ้งที่นำมาใช้เป็นขี้ผึงที่ได้มาจากรังร้างของผึ้ง ที่ชาวบ้านเก็บรวบรวมได้เวลาที่ออกไปหาของป่าเมื่อได้พบเห็นรังผึ้งร้าง ก็จะเก็บรวบรวมเอารังผึ้งเปล่านั้นมาปั้นเป็นก้อนๆ เก็บเอาไว้ (คนโบราณเรียกว่าขี้ผึ้ง มีประโยชน์ หลายอย่าง เช่น นำมาทำเทียนไข ทำเครื่องสำอาง เป็นส่วนประกอบในยาแผนโบราณและสารเคลือบเงา เป็นต้น เทียนที่ผลิตจากขึ้ผึ้งแท้นั้นจัดเป็นเทียนคุณภาพดี มีเขม่าควันน้อย)