กะเหรี่ยงบ้านกล้วย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรีทางการได้ตัดถนนเข้ามายังบ้านกล้วย จึงทำให้สภาพสังคมเปลี่ยนไปเช่น แต่เดิมที่เคยทำการเกษตรแบบยังชีพ เช่น ทำนา ทำไร่ ก็เปลี่ยนมาเป็นการปลูกกระวาน(เครื่องเทศชนิดหนึ่ง)พืชเศรษฐกิจที่ขายได้ราคาดี ดังนั้นจึงทำให้สังคม เศรษฐกิจและความเชื่อในบ้านกล้วยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกะเหรี่ยงบ้านกล้วยเป็นกลุ่มที่อพยพมาอยู่ในพื้นที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มาเนิ่นนานโดยมีประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อ อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่สืบต่อกันมาหลายรุ่นในอดีตกะเหรี่ยงบ้านกล้วยส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยไม่ได้ คนที่พูดไทยได้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นประวัติบ้านกล้วย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านกล้วย มีอายุการก่อตั้งมาประมาณ 100 ปีมีชื่อภาษากะเหรี่ยงว่า “เฮละวุ่ง” แปลว่า “ดินแดนแห่งเมตตา” บริเวณนี้เมื่อก่อนกะเหรี่ยงใช้เป็นทางสัญจรไปหมู่บ้านตะเพินขี้ (เป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่า “ยอดห้วย” หรือต้นลำน้ำตะเพินขี้) (หน้า 113,134) การเดินทางต้องใช้เวลาหลายวันบางครั้งก็ต้องพักค้างแรมระหว่างทาง กะเหรี่ยงจึงนำเมล็ดพืชเช่น กล้วย มะม่วง อ้อย แตงโม ฯลฯ มาปลูกเพื่อจะได้มีกินหากหิวในตอนเดินทาง สำหรับพืชผักผลไม้ที่ปลูก ใครจะกินก็ได้เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของ ภายหลังจึงมีคนอพยพเข้ามาสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้ครอบครัว กะเหรี่ยงบ้านกล้วย ถือการสืบสายเลือดฝ่ายพ่อ และถือผีฝ่ายพ่อ ครอบครัวในหมู่บ้านกล้วย เป็นแบบครอบครัวเดี่ยวสมาชิกในบ้านมี พ่อ แม่ ลูกและบางครอบครัวก็มีปู่ ย่า อยู่ด้วย (หน้า 62) เมื่อคิดจำนวนแล้วในหมู่บ้านเป็นครอบครัวเดี่ยว 70 % และครอบครัวขยาย 30 %(14 ครอบครัว , หน้า 66) การแต่งงาน หากหนุ่มสาวชอบพอกัน เมื่อตกลงใจจะแต่งงานมีครอยครัว ฝ่ายชายจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ ถ้าฝ่ายหญิงตกลงก็จะให้หมอผีกำหนดวันแต่งงาน ซึ่งจะเลยวันหมั้นไปประมาณ 1 เดือน เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายชายจะไปไหว้ผีเรือนบ้านฝ่ายหญิง โดยสิ่งของที่ใช้ประกอบด้วย ไข่ต้ม เหล้า ข้าว เป็นต้น สำหรับของใช้อื่นๆ ที่เอาไปด้วยได้แก่ เสื้อผ้า จอบ มีด เสียมและอื่นๆ (หน้า 64) ฝ่ายชายจะไปนอนที่ชานบ้านฝ่ายหญิง 3 เดือน(ปัจจุบันลดลงเหลือ 1 เดือน) การมาอยู่ก็เพื่อดูนิสัยใจคอว่าขยันทำมาหากิรในไร่นาหรือไม่ ในช่วงนี้จะห้ามชายหญิงหลับนอนด้วยกัน แต่ถ้าฝ่าฝืนก็จะประกอบพิธีขอขมาผีเรือนพร้อมกับเสียค่าปรับให้ฝ่ายหญิง เมื่อครบ 3 เดือน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะพาเจ้าบ่าว เจ้าสาว ทำพิธีไหว้ผีเรือน โดยให้หมอผีเป็นผู้นำในการทำพิธี จากนั้นฝ่ายหญิงก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือมาปูเสื่อและกางมุ้ง ในตอนเย็นเจ้าภาพจะทำอาหารเลี้ยงขอบคุณแขกเหรื่อที่มาช่วยงาน (หน้า 65) เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะต้องเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของฝ่ายชาย (หน้า 66) ส่วนผู้ชายจะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง 1-3 ปีจึงจะแยกครอบครัวออกมา สำหรับการแต่งงานของกะเหรี่ยงเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่ค่อยมีการหย่าหมู่บ้านกล้วยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2524 ซึ่งเปลี่ยนจากอดีตที่ผู้นำทางการเมืองจะเป็นผู้นำทางพิธีกรรมด้วย (หน้า 53) หน้าที่ของผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ คือ ไกล่เกลี่ยหากมีความขัดแย้งหรือทะเลาะวิวาทในหมู่บ้านและติดต่องานกับหน่วยงานราชการ (หน้า 55) ทางด้านการเมืองในระยะแนกผู้นำของหมู่บ้านจะมีลักษณะเป็นตัวแทนของชาวบ้านมากกว่าตัวแทนของรัฐ ภายหลังเมื่อมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาทำงานในโครงการต่างๆ เป็นจำนวนมาก ดังนั้นในภายหลังผู้นำชุมชนจึงมีลักษณะเป็นตัวแทนของหน่วยงานราชการซึ่งต่างจากในอดีตที่ผู้นำชุมชนนั้นจะมีลักษณะเป็นตัวแทนของคนในชุมชน (หน้า 114) สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองในพื้นที่บ้านกล้วยในอดีตนั้น ช่วง พ.ศ.2516 ได้มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งได้ใช้เส้นทางนี้เดินทางไปยังฐานที่มั่นและได้เคลื่อนไหวทางการเมืองจึงทำให้มีชาวบ้านส่วนหนึ่งเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองกับกลุ่มนักศึกษา กระทั่งเหตุการณ์ต่างๆ ได้คลี่คลายลง เมื่อรัฐบาลใช้นโยบายที่ 66 / 2523 โดยยึดนโยบายการเมืองนำหน้าการทหาร เมื่อ พ.ศ.2524กะเหรี่ยงบ้านกล้วย นับถือศาสนาพุทธและนับถือผี ได้แก่ ผีเรือน คือผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับ คนที่ถือผีเรือนคือ ลูกชายคนโต บางครั้งอาจเป็นลูกคนอื่นด้วยก็ได้ ถ้าหากเลี้ยงดูให้เป็นผู้สืบผีเรือน สำหรับการเซ่นไหว้ผีเรือนแบ่งออกเป็นการเซ่นไหว้ทั่วไป คือแล้วแต่ครอบครัวจะกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวันที่ตรงกับบรรพบุรุษเสียชีวิต ตัวอย่างเช่นหากเสียชีวิตในวันเสาร์ ก็จะทำพิธีในวันเสาร์ ส่วนสิ่งของที่ใช้เซ่นไหว้ ได้แก่ อาหารคาว หวาน และอื่นๆ (หน้า 56) และการเซ่นไหว้ประจำปีจะเลือกวันที่สะดวกหากกำหนดวันได้แล้ว ก็จะเชิญญาติๆ มาช่วยงาน นำอาหารมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ เพื่อขอให้คุ้มครองลูกหลานให้มีสุขภาพแข็งแรง ชีวิตการงานเจริญก้าวหน้า (หน้า 57) ผีบ้าน คือผีประจำหมู่บ้าน มีหน้าที่ปกปักรักษาคนในหมู่บ้านให้อยู่อย่างสงบสุข การเซ่นไหว้ไม่มีเวลาที่แน่นอน กรณีมีคนในหมู่บ้านป่วยบ่อยๆ ก็จะร่วมกันประกอบพิธี ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการเลี้ยงผีบ้านจะทำพร้อมกับพิธีเลี้ยงผีเรือน สำหรับสิ่งของที่ใช้เลี้ยงผีบ้าน ได้แก่ อาหารและเหล้านำใส่ถาดแล้วยกไปเลี้ยงผีที่ทางเข้าหมู่บ้าน การทำพิธีอาจจะทำกันเองหรือให้หมอผีเป็นผู้ทำพิธีก็ได้ (หน้า 60) ส่วนการเซ่นไหว้ผีบ้านในช่วงปีใหม่ หมอผีจะเป็นผู้ทำพิธีและกำหนดวัน คนในหมู่บ้านจะนำอาหารมารวมกันที่ศาลาประจำหมู่บ้าน เมื่อทำพิธีแล้วหัวหน้าครอบครัวจะนำด้ายที่ผ่านการทำพิธีมาผูกข้อมือให้ลูกหลานที่บ้าน (หน้า 59) และฉลองวันปีใหม่ (หน้า 60) ส่วนพิธีเกี่ยวกับการเลี้ยงผีอื่นๆ เช่น “ผีไร่” เจ้าของไร่จะเริ่มทำพิธีตั้งแต่เริ่มถางไร่กระทั่งเก็บเกี่ยวข้าว ขนข้าวลำเลียงไปเก็บในยุ้ง พิธีจะทำในช่วงต่างๆ เช่นพิธีการเลี้ยงผีประจำไร่จะทำเมื่อต้นข้าวสูงประมาณ 18 นิ้ว สำหรับเครื่องเซ่นได้แก่ ไก่ 6 ตัวและหมู 6 ตัว การทำพิธีก็เพื่อขอให้ผีคุ้มครองพืชผลที่ปลูก และพิธีเรียกขวัญข้าวจะทำพิธีเมื่อข้าวออกรวง เป็นต้น (หน้า 61) วัดบ้านกล้วย ตั้งอยู่ทางเข้าหมู่บ้านใกล้ลำห้วยตระเพินขี้ มีพระสงฆ์ 4 ถึง 7 รูป (หน้า 40) สร้างเมื่อ พ.ศ.2517 ในระยะแรกกะเหรี่ยงบ้านกล้วยไม่ค่อยชอบมาทำบุญที่วัด เพราะเกรงว่าจะผิดผี และไม่ค่อยสนใจนับถือศาสนาพุทธเพราะเชื่อว่าพระกับผีเป็นศัตรูกัน สาเหตุของการไม่ชอบมาทำบุญที่วัดมีอยู่ระยะหนึ่งทำให้วัดบ้านกล้วยเป็นวัดร้างไม่มีพระอยู่ถึง 3 ปี สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากชาวบ้านไม่ค่อยทำบุญ ส่วนพระเองก็ต้องการความสงบเงียบ ดังนั้นจึงทำให้วัดไม่ค่อยมีบทบาทโดดเด่นในชุมชนเท่าที่ควร (หน้า 38) งานศพ หากมีคนเสียชีวิต กะเหรี่ยงบ้านกล้วยจะตีเกราะบอกคนในหมู่บ้านให้มาช่วยทำพิธี ขั้นตอนการทำพิธีญาติๆ จะช่วยกันอาบน้ำเปลี่ยนชุดกะเหรี่ยงให้กับผู้ตาย โดยจะพลิกเสื้อด้านในออกด้านนอก ตอนเคลื่อนศพไปป่าช้าจะให้ลูกชายหรือญาติที่เป็นผู้ชายเป็นคนจูง ส่วนบ้านที่อยู่ข้างทางต้องปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เมื่อไปถึงป่าช้าก็จะยกสำรับอาหารมาเซ่นไหว้คนตาย ในระหว่างนี้ก็จะช่วยกันขุดหลุมฝังศพ ต่อมาก็จะยกศพลงฝัง รดน้ำมะพร้าวที่ปากหลุมและใบหน้าผู้ตาย ปิดฝาโลงแล้วกลบดินอย่างแน่นหนา บริเวณหลุมจะคลุมไว้ด้วยกิ่งไม้ เมื่อกลับจากฝังศพ ต้องทำความสะอาดร่างกายก่อนจะเข้าบ้าน และการทำพิธีจะไม่อนุญาติให้พระเข้าร่วมพิธีเพราะเชื่อว่าพระกับผีเป็นศัตรูกัน ถ้าฝ่าฝืนจะทำให้คนในครอบครัวเจ็บป่วย ในตอนเย็นจะเชิญหมอผีมาทำพิธีที่บ้านและเลี้ยงอาหารเพื่อนบ้านที่มาร่วมทำพิธี นับจากวันที่ฝังศพลูกหลานจะนำสำรับอาหารไปวางให้ผู้ตายเป็นเวลา 7 วัน เมื่อครบตามกำหนดก็จะเชิญวิญญาณของญาติมาการแต่งกาย ผู้ชาย ชอบซื้อเสื้อผ้าจากภายนอกหมู่บ้าน ผู้หญิง ยังชอบแต่งกายแบบดั้งเดิม แต่ไม่มีการทอผ้าใช้เหมือนในอดีตอีกแล้ว สำหรับการแต่งกายชุดประจำเผ่า นิยมแต่งเมื่อมีงานบุญหรืองานเทศกาล