นายเฟื้อง ใจเที่ยง ปราชญ์ชาวบ้านด้านการแสดงพื้นบ้านของจังหวัดตราด ได้เล่าถึงการรำโหงฟางให้ฟังว่า ในอดีตชาวบ้านจะช่วยกันทำนา ในช่วงที่เกี่ยวข้าวเอามามัดรวมกันเป็นฝ่อน แล้วก็เตรียมนวดข้าว โดยใช้ควายนั้น ชาวบ้านก็จะนึกสนุกก็เอากระดงไห หรือที่ภาคกลางเรียกว่า คันฉาย ใช้สำหรับเกี่ยวฟางนั้น มาเคาะกันเล่น แล้วก็มีการร้องรำทำเพลงกันขณะทำงาน จนกลายเป็นที่มาของเพลงโหงฟาง การร้องเพลงโหงฟางของชาวบ้านไม่มีเครื่องดนตรี เป็นการร้องและรับระหว่างชายหญิง ในปัจจุบันนี้การรำโหงฟางไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว เนื่องจากไม่มีการนวดข้าว ส่วนใหญ่ก็ใช้เครื่องกันหมดแล้ว จึงส่งผลให้การรำโหงฟางหายไปด้วย จะมีให้เห็นก็แต่มีการจัดแสดงทางวัฒนธรรมเท่านั้น เช่น ไปจัดที่วิทยาลัยหัวเฉียวธนบุรี เป็นต้น การรำโหงฟาง ต้องใช้คนหรือทีมงานอย่างน้อย 6 คน แต่จะเป็น 8 หรือ 10 คนก็ได้ ต้องเป็นคู่ ในจังหวัดตราดนี้มีผู้ที่จัดรำโหงฟางอยู่ 2 คณะคือ ของลุงเฟื้อง ใจเที่ยง และน้องชายของลุงเฟื้องเอง ในด้านของการถ่ายทอดลุงเฟื้องเองก็พยายามถ่ายทอดให้ลูกหลาน และยินดีให้ทางหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาเรียนรู้ ทางคุณลุงพร้อมที่จะถ่ายทอดให้เต็มที่เพื่อให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแก่คนรุ่นต่อไป สำหรับเนื้องเพลงโหนฟางจะร้องว่า "หากไม่จรรโลงของเก่าเก่า ผู้แก่ผู้เฒ่าก็ตายไป ไม่ช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ ไหนเลยจะได้ของดีดี จริงไหมต้อย มาเถิดพี่พี่น้องน้อง มาช่วยกันร้องช่วยกันรำ มาช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรม ของที่งดงามอย่างนี้ ฉ่าไว้ ฉ่าไว้ สมัยก่อนบ้านของเรา เราปลูกข้าวกันทั้งนั้น ไอ้บ้างก็ทำนาหว่าน ไอ้บ้างก็ทำนาปี ฉ่าไว้ เดี๋ยวนี้เขาลืมทั้งวัวทั้งควาย มาใช้ของใหม่กันเสียหมด เขาลืมควายมาใช้รถ มันเลยต้องหมดของดี ฉ่าไว้"