ประวัติความเป็นมาของตำบลดินจี่
ประวัติความเป็นมาของบ้านดินจี่ตามคำบอกเล่า แต่ก่อนชาวบ้านดินจี่ได้อพยพ
มาจากอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ชื่อบ้านเหลาตำแย โดยมีนายเทาไม่ทราบนามสกุล เป็นผู้นำ จึงได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณราบเชิงเขา บริเวณดังกล่าว ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์จึงได้ขยับขยายพื้นที่การเกษตรออกมาเรื่อย ๆ ชาวบ้านในสมัยนั้นส่วนมากมีอาชีพปั้นอิฐเผา เพื่อที่จะนำไปสร้างพระธาตุพนม ซึ่งต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านใหม่ การเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านในครั้งนั้นเห็นว่าชาวบ้านมีอาชีพปั้นอิฐจึงเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านว่า บ้านดินจี่จนถึงปัจจุบัน
ตามคำบอกเล่าจากคุณพ่อบุญศรี สาระโป ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลดินจี่ คอมมิวนิสต์ถือกำเนิดในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นพวกคอมมิวนิสต์ที่มาจากประเทศจีน เข้ามาทางประเทศลาวข้ามฟากมายังฝั่งไทยทางจังหวัดนครพนม มุกดาหาร แล้วมาตั้งค่ายอยู่ที่ภูพานน้อยและภูพานใหญ่ พอทางการได้ข่าวว่าจะมีคอมมิวนิสต์เข้ามายังประเทศไทย จึงได้มีการจัดตั้งอาสาสมัคร ได้มี
การนำกำลังอาสาสมัครเข้ามายังพื้นที่ของตำบลดินจี่ ซึ่งอาสาสมัครจะทำงานร่วมกับตำรวจ สารวัต โดยการนำของ “ จ่าประพิษ ” นำอาสาสมัครมาอยู่กับตำรวจ “ ดำรง ” แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครเห็นคอมมิวนิสต์ แต่ทางการเขารู้แล้วว่าคอมมิวนิสต์มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จึงมีการจัดให้มีเวรยามเพื่อรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน จากนั้นปี พ.ศ. ๒๕๐๕ , ๒๕๐๖ ปรากฏว่าที่ปากแก่งกกดา โครงการพระราชดำริ มาตั้งอยู่ที่ภูเขียว เรียกว่าเขต ๙๙ จากนั้นพวกคอมมิวนิสต์มาปลุกระดมชาวบ้านอยู่ป่า โดยตอนนั้นพวกคอมมิวนิสต์จะเอาการเมืองการปกครองของจีน คือ ประธานเมาเจ๋อตุง โดยมีการจัดอบรมชาวบ้านให้รู้จักคอมมิวนิสต์ โดยการอบรมจะกระทำอยู่ในป่า พวกคอมมิวนิสต์จะเลือกเอาชาวบ้านที่เป็นนักเลง พวกที่มีความผิดและหนีเข้าป่า พวกคอมมิวนิสต์ ก็จะให้ความรู้กับพวกนี้ หรือพวกที่สมัครใจเข้าป่า ชาวบ้านจึงได้จัดตั้งทหารบ้านดูแลชาวบ้านว่าใครเป็นสายเจ้าหน้าที่หรือไม่ พ.ศ. ๒๕๑๐ เริ่มมีท่าทีที่รุนแรงขึ้น คือตอนนั้นชาวบ้านจะได้ยินเสียงปืนตลอดเวลา คือจะมีการยิงกันอยู่ที่บ้านนาบัว เริ่มมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ พวกคอมมิวนิสต์จะขัดขวางนโยบายของรัฐบาลไทย จากนั้นตำรวจได้มาตั้ง สภ.ต. อยู่ที่โรงเรียนดินจี่ในปัจจุบัน โดยการนำของตำรวจ จากนั้นพวกคอมมิวนิสต์รู้ว่ามีตำรวจเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านก็เข้ามาลอบทำร้ายจนเสียชีวิต อยู่ที่บ้านพัก พวกลูกน้องของตำรวจ ก็กลัวตายหนีเข้าป่าไป จากนั้นก็ได้มีการจัดตั้งชุดคุ้มครองหมู่บ้าน อยู่ที่กลางทุ่งนาของคุณพ่อบุญศรี สาระโป ในปัจจุบัน ตอนนั้น มีการเผาแค้มป์ที่พัก อส. ก็อยู่ไม่ได้ตอนนั้นหมู่บ้านดินจี่ถือว่าเป็นหมู่บ้านเขตพื้นที่สีแดง คือ คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ต้องนอนก่อนเวลา ๑๘.๐๐ น. ตอนนั้นคนในหมู่บ้านจะถามกันไม่ได้ว่าคุณมาจากไหน คุณทำอะไร เพราะพวกคอมมิวนิสต์จะถือว่าเป็นสายของเจ้าหน้าที่ จะพูดคุยได้เฉพาะคนในครอบครัวของตัวเองเท่านั้น ตอนนั้นได้มีเครื่องบิน บินลาดตะเวนตลอดเวลา ชาวบ้านได้ยินเสียงเครื่องบินจึงได้วิ่งหนี ก็โดนยิงตาย ๔ คน เพราะเกิดจากความเข้าใจผิดของทหาร ที่ชาวบ้านวิ่งหนีก็เพราะว่าจะมีการทิ้งระเบิด เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สีแดง ตอนนั้นมีนักศึกษาเดินทางมาจากกรุงเทพฯ โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้ามาได้อย่างไร โดยเขาบอกว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์ก็ถูกยิงตาย นักศึกษาคนนั้นคือ นายเสรี จากนั้นประมาณปี พ.ศ. 2518 คุณพ่อบุญศรี สาระโป กับเพื่อนอีกหลายคน ได้เป็นสารวัตกำนัน มีการส่งทหารมาจาก จังหวัดนครราชสีมา มาตั้งฐานอยู่ที่วัดกลางบ้านดินจี่ จากนั้นได้มีการปะทะจับพวกคอมมิวนิสต์ คือจะเป็นการโอบล้อมกลางบ้าน โดยทหารเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ มาทุกอย่าง ตอนนั้นมีทหารปืนใหญ่มาช่วยรบด้วย โดยตั้งค่ายอยู่ที่รอยต่อระหว่างบ้านดินจี่กับบ้านนาบอนในปัจจุบัน ช่วงนั้นชาวบ้านออกไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ชาวบ้านก็ถูกฆ่าตายจำนวนมาก มีการส่งชาวบ้านไปฝึกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตอนนั้นชาวบ้านที่ฝึกกลับมาจะอยู่ที่บ้านไม่ได้เพราะจะถูกฆ่าตาย ก็อาศัยพักกับพระสงฆ์ พอพวกคอมมิวนิสต์รู้ก็ถูกฆ่าตายอยู่ที่วัดบ้านดินจี่ในปัจจุบัน ประมาณปีกว่า ทหารได้ถอนกำลังออกจากหมู่บ้าน ทางการได้ส่งตำรวจตระเวนชายแดนเข้ามาแทนที่ โดยตั้งแค้มป์อยู่ที่รอยต่อของหมู่บ้านดินจี่-นาบอน แค้มป์ของตำรวจตระเวนชายแดนก็โดนเผาจึงได้มาตั้งอยู่ที่ โรงเรียนดินจี่ ประมาณว่าปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ครูถูกฆ่าตายที่บ้านนาบอน เพราะพวกคอมมิวนิสต์เข้าใจผิดคิดว่าครูเป็นพวกตำรวจ จากเหตุการณ์ครั้งนั้นพวกคอมมิวนิสต์จึงเสียโอกาสทางการเมือง สภาพทางการปกครองไม่มีความเข้มแข็ง จากนั้นมีการฝึกไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) เข้าไปเคลียร์พื้นที่บนภูเขา ต่อมาก็มีการมอบตัวให้กับทางการเป็นจำนวนมาก ในตอนนั้นคุณพ่อบุญศรีฯ บอกว่า อาสาสมัคร มีบทบาทในการปกครองมาก เพราะอาสาสมัคร จะฆ่าคนทุกคนที่เขาคิดว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ คนชรา็็
ชาวตำบลดินจี่ได้ร่วมกันจัดตั้งอนุสาวรีย์ความเป็นมาของบ้านดินจี่ขึ้นเพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้รู้จักความเป็นมาของถิ่นเกิดของตนเอง ซึ่งปัจจุบันตำบลดินจี่ได้มีการพัฒนาในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะเมือปี ๒๕๕๑ ได้มีผู้ค้นพบซากไดโนเสาร์อายุกว่า ๑๕๐ ล้านปี บริเวณภูน้อย นับว่าเก่าแก่ที่สุด ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทรัพยากรธรณี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และเดนมาร์ก ได้เข้ามาตรวจสอบ โดยมีการจัดกิจกรรมบริการวิชาการในแหล่งขุดค้นภูน้อย ได้แก่การอบรมให้ความรู้ด้านซากดึกดำบรรพ์แก่บุคลากรในชุมชนและค่ายเยาวชนจากโรงเรียนในแหล่งซากดึกดำบรรพ์ ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยาขึ้นในภูน้อยก็อาจจะเป็นได้ ซึ่งจะทำให้ตำบลดินจี่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ชาวตำบลดินจี่มีความรักและตื่นตัวที่จะช่วยกันดูแลรักษาสมบัติอันมีค่าแห่งนี้ไว้