งานช่างแทงหยวก
งานช่างแทงหยวกเป็นงานช่างแขนงหนึ่งของหมู่ช่างแกะ คือ ในหมู่งานช่างเครื่องสด อันประกอบด้วยงานช่างแทงหยวก งานแกะสลักของอ่อน และงานประดิษฐ์ดอกไม้สด งานช่างแทงหยวก หมายถึง งานช่างวิจิตรศิลป์ที่ใช้มีดสองคมแทงลงไปบนกาบกล้วยให้เกิดลวดลายเป็นแบบลายไทยในลักษณะต่างๆ ส่วนใหญ่นายช่างที่จะแทงหยวกได้นั้นจะต้องมีความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องลายไทย การผูกลวดลาย เมื่อใช้มีดสองคมแทงลวดลายไปบนกาบกล้วยแล้ว จะไม่มีการร่างเส้นลวดลายลงบนกาบกล้วย เพราะจะทำให้กาบกล้วยช้ำ เป็นรอยไม่สวยงาม และงานช่างแขนงนี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกับงานช่างฝีมือแขนงอื่นๆ กล่าวคือวัสดุที่นำมาใช้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติ ตัดและเก็บมาสดๆ สามารถหาได้ในท้องถิ่นนั้นๆ นายช่างที่ดีจึงจำเป็นจะต้องฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ ให้เกิดความเชี่ยวชาญและชำนาญอยู่เสมอ และสามารถถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับงานช่างแทงหยวกนี้ให้กับบุคคลอื่นได้ กอปรกับสามารถรักษาเอกลักษณ์ของตนให้คงอยู่สืบต่อไปได้
งานช่างแทงหยวกสามารถพบเห็นได้ในงานพิธีมงคล อันได้แก่ ประกอบเบญจาในงานโกนจุก และพิธีทางพุทธศาสนา เช่น ใช้ตกแต่งธรรมาสน์เทศน์ในงานเทศมหาชาติ ตกแต่งประดับตั้งองค์กฐิน เป็นต้น ส่วนในงานอวมงคลที่พบคือการแทงหยวกตกแต่งเชิงตะกอนเผาศพ เป็นประเพณีที่ยึดถือมาตั้งแต่โบราณกาล มีรูปแบบสืบทอดกันมาปรากฏในรูปแบบของงานราชสำนัก ที่เรียกว่า "พระจิตกาธาน" ที่ใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ ออกเมรุที่ท้องสนามหลวง และรูปแบบของสกุลช่างชาวบ้าน ตามชุมชนหรือหัวเมืองจังหวัดต่างๆ เช่น ช่างแทงหยวกสกุลช่างวัดระฆังโฆษิตาราม ช่างแทงหยวกสกุลช่างวัดอัปสรสวรรค์ ช่างแทงหยวกสกุลช่างวัดดงมูลเหล็ก และช่างแทงหยวกสกุลเพชรบุรี เป็นต้น
งานช่างแทงหยวกเป็นงานช่างฝีมือดั้งเดิมอีกแขนงหนึ่งที่กำลังจะสูญหายไปจากสังคมไทยเพราะความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา และสภาพของสังคมไทยที่รับเอาวัฒนธรรมของชาติอื่นเข้ามาใช้ส่งผลให้วัฒนธรรมดั้งเดิมนี้กำลังสูญหายไปในที่สุด
นิยามและความหมายของ“งานช่างแทงหยวก”
งานช่างแทงหยวก เป็นงานช่างไทยดั้งเดิมแขนงหนึ่งในงานช่างสิบหมู่ จำแนกแยกย่อยออกมาจากหมู่งานช่างแกะ ได้แก่ งานแกะเครื่องวัสดุถาวร และงานแกะเครื่องสด
งานแกะเครื่องสด สามารถจัดแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ ซึ่งทำขึ้นต่างวิธีกัน แต่อาจทำการอยู่ร่วมกัน และใช้งานตกแต่งในที่เดียวกัน หรือแยกงานกันก็ได้ คือ งานช่างแทงหยวก งานช่างแกะสลักของอ่อน และหมายรวมถึงงานช่างประดิษฐ์ดอกไม้สดที่จำเป็นต้องใช้ประกอบในงานช่างแทงหยวก
งานช่างแทงหยวก หมายถึง งานช่างวิจิตรศิลป์ที่ใช้มีดสองคม (ความยาวประมาณ ๒ – ๕ นิ้ว) แทงลงไปบนกาบกล้วย โดยไม่มีการร่างลวดลาย ทำให้เกิดลวดลายเป็นลายไทยในลักษณะต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องประกอบในพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น เช่น การใช้เพื่อประดับตกแต่งธรรมาสน์เทศน์มหาชาติ ประดับตั้งองค์กฐิน ใช้ประกอบเบญจาในงานโกนจุก ตกแต่งเสลี่ยงบวชนาค และการประดับตกแต่งเชิงตะกอนเผาศพ เป็นต้น โดยอาศัยความถนัดหรือความชำนาญของช่างแทงหยวก ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสกุลช่างต่างๆ ตามรูปแบบและลวดลายที่ใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น สกุลช่างวัดระฆังโฆษิตาราม สกุลช่างวัดอัปสรสวรรค์ สกุลช่างวัดดงมูลเหล็ก สกุลช่างวัดโสมนัส สกุลช่างวัดมกุฏกษัตริย์ สกุลช่างวัดเทพศิรินทร์ สกุลช่างวัดจอมทอง สกุลช่างวัดทองนพคุณ สกุลช่างบางขุนพรหม สกุลช่างนนทบุรี สกุลช่างเพชรบุรี สกุลช่างกำแพงเพชร สกุลช่างอุบลราชธานี และสกุลช่างสงขลา เป็นต้น
"หยวก" คือ ส่วนของลำต้นกล้วย (ลำต้นเทียม) ที่ลอกออกมาเป็นกาบ มีลักษณะโค้งตามกาบใบกล้วยที่โอบเข้ามาประกบซ้อนๆ กันหลายๆ กาบ กาบรอบนอกสุดสีจะเขียวเข้มไล่ไปหาสีขาวซึ่งอยู่กาบด้านในจนถึงแกน ต้นกล้วยที่นิยมนำมาใช้ในงานช่างแทงหยวก คือ ต้นกล้วยตานี (ลำต้นเทียม คือ ลำต้นกล้วยเหนือดินที่สามารถมองเห็นได้ ลำต้นเทียมไม่ใช่ลำต้นกล้วยเป็นเพียงกาบใบกล้วยที่โอบเข้ามาประกบกันแน่น ซ้อนๆ กันหลายๆ กาบ ริมของกาบใบที่ขนานกันจากโคนถึงปลายจะค่อยๆ เรียวเข้าหากันที่ปลาย ทำให้กาบใบแข็งแรงสามารถรองรับน้ำหนักของก้านใบที่ใหญ่โตและค่อนข้างหนักของใบกล้วยได้ที่โอบเข้ามาประกอบกันแน่น ลำต้นแท้ ของต้นกล้วยเป็นลำต้นใต้ดิน คือเหง้ากล้วยที่มีขนาดใหญ่ ลักษณะของเหง้ากล้วยประกอบไปด้วย โคนต้นเทียม ตากล้วยที่ทั่วไปบนเหง้า เฉพาะตาที่อยู่ใจกลางของเหง้าเท่านั้นที่จะเติบโตเป็นช่อดอก ตาอื่นๆ จะเติบโตไปเป็นเหง้าอ่อน จากเหง้าอ่อนจะเติบโตแทงหน่อออกมาเป็นต้นกล้วยใหม่)
กล้วยตานี เดิมไม่ใช่พันธุ์กล้วยของไทย แต่เป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่งที่พบในประเทศอินเดีย ส่วนลำต้นและผลอ่อนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ ใบกล้วยตานีเป็นใบตองที่มีความเหนียว ทนทาน ใบใหญ่กว้างและยาว ผลมีเมล็ดมากนิยมกินดิบ เช่น นำมาตำส้มกล้วย นำมากินกับแหนมเนืองในอาหารเวียดนาม ต้นมีขนาดใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ลำต้นสูง ๓.๕ – ๔ เมตร กล้วยตานีเป็นกล้วยที่ปลูกเพื่อเศรษฐกิจ อายุ ๒๐ ปี ต้นที่หมดอายุนำมาเชือกกล้วย (ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Musa balbisiana, Colla. Musa sapientum, Linn Musa balbisiana, E. Colla. ชื่ออื่นๆ กล้วยงู (จังหวัดพิจิตร) กล้วยป่า, กล้วยเมล็ด (จังหวัดสุรินทร์) และ กล้วยพองลา (ภาคใต้) กล้วยตานีอ่อง, กล้วยตานีใน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
งานช่างแทงหยวกในจังหวัดนนทบุรี
นายประสิทธิ์ มูลประมุข เกิด 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 จบการศึกษาประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นปราชญ์ชาวบ้านเรื่องการแทงหยวก การแทงหยวกเป็นการนำกาบกล้วยมาฉลุลวดลายประดับในงานต่าง ๆ ทั้งงานมงคล เช่น โกนจุก บวช ลอยกระทง ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานพิธีทางศาสนา ทำบุษบก แห่พระวันออกพรรษา และงานอวมงคล เช่น งานศพ
กาบกล้วยที่เลือกมาฉลุ คือ กล้วยตานี เพราะกาบกล้วยมีสีขาว มีความเหนียว ความโค้ง มากกว่ากล้วยชนิดอื่น ๆ การฉลุลายกาบกล้วยไม่สามารถร่างลวดลายลงบนกาบกล้วยได้ จึงต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญ จดจำรูปแบบของลวดลายได้ ส่วนใหญ่จะเป็นลายกระจังตาอ้อย ลายแข้งสิงห์ ลายก้านขด มีทักษะในการให้สีว่า ลายใดควรจะเป็นสีใดเพราะจะต้องลงสีไปพร้อมกับการฉลุลวดลาย โดยการนำปลายมีดที่ฉลุลายจุ่มสีก่อนที่จะฉลุ เมื่อนำไปฉลุสีจากปลายมีดก็จะซึมเข้าไปในกาบกล้วย จึงทำให้ได้ลวดลายพร้อมสีและต้องมีความรวดเร็ว เพราะกาบกล้วยมีอายุการใช้งานสั้น การฉลุลวดลายกาบกล้วย มีเวลาทำล่วงหน้าเพียง 1 วันเท่านั้น อาชีพการแทงหยวกในจังหวัดนนทบุรี มีอยู่ 2 แห่ง คือ นายประสิทธิ์ มูลประมุข ชาวอำเภอบางกรวย และนายสวัสดิ์ เรียวแรง ชาวอำเภอบางกรวย
กระบวนการแทงหยวก
ช่างแทงหยวกมีเวลาจำกัดในการทำงาน เนื่องจากหยวกกล้วยเป็นวัสดุไม่คงทน และจะเหี่ยวเฉาได้ง่าย จึงต้องมีการวางแผนการจัดการที่ดี เพื่อจะได้ทำงานได้รวดเร็ว เสร็จตามกำหนดเวลา และต้องมีผู้ช่วยหลายคน โดยแบ่งหน้าที่รับผิดชอบไปตามความถนัดของแต่ละคนการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้งานมีดังนี้
เครื่องมือที่ใช้ในการแทงหยวก
เครื่องมือที่ใช้ในการแทงหยวก ได้แก่มีดแทงหยวก และ มีดแรลาย มีดแทงหยวกมีใบมีดเรียวยาว ประมาณ 5-6 นิ้ว ปลายแหลม มีคมรอบด้าน อ่อนตัวได้ ด้ามกลม เวลาแทงหยวกจะพลิ้วไปตามมือช่าง ทำให้ลวดลายอ่อนช้อยงดงาม มีดแทงหยวกจะต้องมีความคมอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะทำให้เส้นที่ได้ขาดความคม แนวการฉลุลายจะไม่ตรงเป็นแนวเดียวกันช่างจึงต้องลับมีดอยู่เสมอ ส่วน มีดแรลาย จะมีใบมีดสั้น ใช้สำหรับกรีดหยวกที่แทงลายแล้วให้เป็นรอย เพื่อให้ติดสีที่จะย้อมในภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่ใช้ประกอบในการแทงหยวกอื่นๆ ได้แก่ เลื่อย มีดโต้ สำหรับตัดต้นกล้วย ต้นไผ่ จักตอก และ ค้อนตะปู สำหรับประกอบโครงแบบที่จะวางหยวก
วัสดุที่ใช้ในการแทงหยวก
1. หยวกกล้วย
การเลือกต้นกล้วยที่นำมาใช้ในการแทงหยวกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเลือกหยวกไม่ดีแล้ว จะทำให้ผลงานที่ได้ไม่สมบูรณ์ ควรเป็นต้นกล้วยที่มีขนาดใหญ่ โตเต็มที่ และยังไม่ออกปลี มีลำต้นตรง สูงประมาณ3 เมตรขึ้นไป โคนต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20เซนติเมตร เพราะจะได้หยวกที่ใหญ่ เมื่อแทงหยวกแล้วจะได้ลายที่ชัดเจน นิยมใช้กล้วยตานีเพราะมีความเหนียว คงทน กาบใหญ่ ใบหนา ไม่มีใย หยวกจากกล้วยตานีจะทนอยู่ได้ถึง24 ชั่วโมง ในขณะที่กล้วยชนิดอื่นจะเหี่ยวเฉาภายใน 10 ชั่วโมง ปกติกล้วยแต่ละต้นจะใช้หยวกได้ประมาณ 6-7 กาบเท่านั้น ดังนั้น การจะหาต้นกล้วยจำนวนมากที่มีขนาดใกล้เคียงกันจึงเป็นเรื่องลำบากที่สุดในกระบวนการแทงหยวก
2. กระดาษสี
กระดาษสีที่ใช้รองลายแทงหยวก เรียกกันว่า “กระดาษอังกฤษ” เป็นกระดาษสีต่างๆ มีหน้าเดียว ผิวมันคล้ายกระดาษตะกั่ว กระดาษชนิดนี้จะให้สีที่สดใสเป็นมันวาวส่งให้ลวดลายปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เมื่อถูกน้ำแล้วกระดาษไม่ย่นยับ สีไม่ลอกทนทาน
3. สีสำหรับย้อมหยวก
สีที่ใช้ย้อมหยวกทั่วไปนิยมสีผงที่ใช้ทำอาหาร นำมาละลายในน้ำร้อน ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงนำไปย้อม สีที่นิยมใช้ ได้แก่ แม่สี คือ เหลือง แดง น้ำเงิน เครื่องใช้ในการย้อมสี ได้แก่ แปรง หรือกาบกล้วยที่นำมาตัดให้มีลักษณะคล้ายแปรง นอกจากนี้ บางครั้ง ใช้ปากกาสีน้ำสักหลาด วาดลายเส้นแทนการย้อมสี เพื่อความรวดเร็วในการทำงาน และไม่ทำให้หยวกช้ำมาก
4. ตอก
ตอกเป็นวัสดุสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการร้อยรัดหยวกที่แทงลายแล้วประกอบเข้าด้วยกัน และยังทำหน้าที่ยึดชิ้นส่วนต่างๆให้ติดกับโครงแบบอีกด้วย เรียกว่า เข็ม ตอกเหลาจากไม้ไผ่ ความยาวประมาณ60 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ปลาย 2 ข้างเรียวแหลม
การไหว้ครูก่อนการแทงหยวก
ก่อนจะเริ่มแทงหยวก ต้องมีพิธีไหว้ครู เพื่อระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ให้วิชาความรู้ก่อน ของที่ใช้ไหว้ครูประกอบด้วย ดอกไม้ ธูปเทียน น้ำ เหล้า บุหรี่ และอื่นๆตามที่ช่างเห็นว่าเหมาะสม เครื่องมือช่างแทงหยวก อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ รวมทั้งแผ่นหยวกที่แทงเป็นลายแล้วสำหรับไหว้ครู โดยช่างจะนำของทั้งหมดใส่ถาดรวมกัน ตั้งไว้บนโต๊ะ ใกล้ๆบริเวณที่แทงหยวก ช่างทุกคนต้องไหว้ครูและเครื่องมือก่อนทำงาน ถ้าเป็นงานใหญ่ จะต้องมีเครื่องไหว้ครู บายศรีปากชาม หัวหมู เครื่องกระยาบวช ครบตามประเพณีนิยมของการบูชาครู หากเป็นงานย่อย ก็ใช้สุรา และน้ำเปล่าเท่านั้น ถ้าไหว้ครูหลังเที่ยงก็จะมีเพียงสุรากับน้ำเปล่าเท่านั้น
การเตรียมหยวก
เมื่อได้ต้นกล้วยมาตามที่ต้องการแล้ว ตัดหัวท้ายออกให้ได้ความยาวใกล้เคียงขนาดที่ต้องการ ลอกกาบออกทีละชั้นอย่างระมัดระวัง ลอกกาบส่วนนอกทิ้ง กาบรองลงมาเป็นสีเขียวนำไปใช้รองด้านในได้ ลอกกาบกล้วยไปจนเกือบถึงชั้นในสุด กาบกล้วยด้านในที่มีขนาดเล็กนำมาใช้แต่งเป็นเสา หรือใช้ประกบกับโครงแบบเพื่อป้องกันไฟลามมาไหม้ได้เมื่อลอกกาบกล้วยได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว นำหยวกกล้วยที่มีขนาดใกล้เคียงกันเพราะลอกมาจากชั้นที่ใกล้กันมาวางซ้อนกันเป็นคู่ๆ นำมาตัดให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ
การแทงหยวก
ส่วนประกอบของการแทงหยวกและลายแทงหยวก
ส่วนประกอบของการแทงหยวกมี2 ส่วน คือ
1. ส่วนหน้ากระดาน คือส่วนประกอบที่อยู่ในแนวนอน มีอยู่หลายชั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบ ประกอบด้วย
ลายหน้ากระดาน คือส่วนที่เป็นลายอยู่ตรงกลาง ซึ่งจะมีจุดเด่นเป็นพิเศษ ช่างที่มีฝีมือจะประดิษฐ์ลายหน้ากระดานให้วิจิตรพิสดารเพื่ออวดฝีมือลายหน้ากระดานที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ได้แก่ ลายรักร้อยประเภทต่างๆ ลายก้ามปู ลายเครือเถาลายกนกเปลว เป็นต้น ลายหน้ากระดานเป็นลายที่ทำยากที่สุด ต้องใช้ช่างฝีมือที่มีความชำนาญ
ลายกระจัง คือส่วนที่ตกแต่งด้านข้างของลายหน้ากระดานมีหลายแบบ ได้แก่ กระจังฟันปลาลายฟันหนึ่ง ลายฟันสาม ลายฟันห้า กระจังหู และกระจังรวน เป็นต้น
กระจังฟันปลา หรือลายฟันหนึ่ง ใช้สำหรับนำไปประกอบส่วนในสุดของส่วนฐาน หรือส่วนเสา มีหยักเล็กๆหยักเดียวตลอดแผง ขนาดของฟันประมาณ 2 เซนติเมตร เท่ากันทุกซี่ ต้องให้เป็นเส้นตรงเดียวกัน และต้องทำให้ทั้ง 2 ด้านเท่ากัน เพราะเมื่อแทงลายแล้วสามารถแยกออกใช้ได้ 2 ชิ้น
กระจังตาอ้อย หรือลายฟันสาม ใช้สำหรับประกอบที่ส่วนฐานชั้นล่างและฐานชั้นบนของเมรุ มีหยักด้านข้างข้างละ1 หยัก รวมเป็น 3 หยัก มีขนาดความกว้างประมาณ 8 เซนติเมตร สูงประมาณ 7 เซนติเมตร การแทงหยวกต้องให้ลายทั้ง 2 ซีกเท่ากันเพราะเมื่อนำมาแยกก็จะได้งาน 2 ชิ้น
กระจังตาอ้อย หรือลายฟันห้า เป็นลวดลายที่ใช้ประกอบในส่วนฐานเช่นเดียวกับลายฟันสาม มี5 หยัก มีขนาดใหญ่กว่าลายฟันสามเล็กน้อย ส่วนกว้างประมาณ 9 เซนติเมตร สูงประมาณ 8 เซนติเมตร เนื่องจากมีถึง 5 หยัก ทำให้หยักด้านซ้ายและด้านขวามีขนาดไม่เท่ากัน และด้วยเหตุที่มีขนาดใหญ่จึงต้องมีการแรลายเพื่อให้สวยงามยิ่งขึ้น
2. เสา คือส่วนที่เป็นแนวตั้งขององค์ประกอบในการแทงหยวกมีส่วนประกอบดังนี้
ลายเสา เป็นลายที่อยู่ตรงกลางเสา เป็นลายที่มีความสำคัญเนื่องจากทำยาก เช่นเดียวกับลายหน้ากระดาน จะมีการออกแบบลวดลายแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นการอวดฝีมือกัน ได้แก่ ลายกนกเปลว ลายเครือเถาต่างๆ ลายดอกไม้ ลายสัตว์ เป็นต้น
ลายน่องสิงห์หรือลายแข้งสิงห์ ใช้สำหรับตกแต่งด้านข้างของลายเสา มีรูปร่างหยักสวยงาม การแทงหยวกลายน่องสิงห์ต้องให้ทั้ง2 ด้านเท่ากัน เมื่อทำเสร็จจะได้ผลงาน 2 ชิ้น
ลวดหรือคิ้ว เป็นชิ้นหยวกตรงๆที่อยู่ตรงกลาง ใช้แยกลายฟันปลาของส่วนลายเสาและลายน่องสิงห์
การตกแต่งหยวกด้วยการแรลายและการย้อมสี
วิธีการแร ในงานช่างแทงหยวกแบบสกุลช่างวัดระฆังโฆษิตาราม
การแร คือ การสอดไส้หรือตัดเส้นตัวลาย ทั้งนี้เพื่อให้ตัวลายมีความชัดเจนยิ่งขึ้น การที่ต้องมีการแรก็เพราะเหตุว่า ในการแทงหยวกนั้นกระทำได้แต่โครงสร้างหยาบๆ ของตัวลายเท่านั้น ส่วนลายละเอียดนั้นแทงลงไปทีเดียวไม่ได้ เพราะจะทำให้ตัวลายขาดออกจากกัน การส่งรายละเอียดของตัวลายจึงต้องกระทำโดยการแร
วิธีการแร คือ การใช้ปลายมีดกรีดลงบนผิวหยวกเบาๆ พอเป็นรอย ในการขีดจะต้องใช้นิ้วชี้ประคองใบมีดให้เคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการ
การย้อมสี
การย้อมสี หรือระบายสีหยวกที่สลักแล้ว จะทำให้เกิดความสวยงาม เห็นตัวลายปรากฏเป็นรูปร่างชัดเจน ในการระบายสีลวดลายบนหยวกนั้น บางท้องถิ่นใช้วิธีทาสีลงไปบนลวดลายโดยตรง บางท้องถิ่นใช้วิธีการพ่นสีโดยใช้กระบอกฉีด
การย้อมสีโดยวิธีระบาย การย้อมโดยวิธีระบายนั้น ได้แก่ การใช้แปรง พู่กัน ชุบสีแล้วระบายลงไปบนลวดลายที่สลักไว้ เมื่อสีซึมลงไปในรอยที่แร จะทำให้ตัวลายเด่นชัดขึ้น
ในการระบายสีหยวกที่สลักสองซีกเป็นลวดลายที่เหมือนกัน เช่น ลายฟันปลา ฟันสาม และฟันห้า เป็นต้น การระบายสีต้องระบายสลับกัน เพื่อเวลาแยกออกเป็นสองส่วนแล้วจะได้สีของสองสีในคราวเดียวกัน
การประกอบหยวก
การประกอบชิ้นส่วนหยวกคือ การนำหยวกที่แทงลายแล้วมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นส่วนต่างๆสำหรับตกแต่งเชิงตะกอน ได้แก่ ส่วนฐาน เรือนไฟ ส่วนเสา และ ส่วนรัดเกล้า เป็นต้น
การวางลายหน้ากระดาน หรือ ลายเสาบนพื้นกระดาษสีโดยนำกาบกล้วยที่เป็นพื้นลูบน้ำให้เปียกชุ่มแล้ววางกระดาษสีทาบลงตลอดความยาวของหยวก แล้วลูบกระดาษให้เรียบกระดาษจะกระชับติดแน่นบนผิวของหยวก หลังจากนั้น จึงนำหยวกที่แทงเป็นลายฟันหนึ่งลายฟันสาม ลายฟันห้า มาจัดเรียงในลักษณะที่ต้องการ เป็นที่น่าสังเกตว่าจะมีหยวกที่เป็นเส้นตรงอยู่ตรงกลางระหว่างลายฟันหนึ่งซึ่งแยกส่วนลายหน้ากระดานกับลายกระจัง หรือลายเสากับลายน่องสิงห์ เรียกว่า ลวดหรือคิ้ว เป็นการแบ่งลายให้เป็นสัดส่วน ทำให้มองดูงดงามยิ่งขึ้น เมื่อจัดเรียงหยวกได้ที่แล้วจึงใช้ จักตอก ที่ทำจากผิวไม้ไผ่ร้อยทะลุตลอดความกว้างของหยวก เพื่อให้สามารถยึดหยวกทั้งชุดเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น
การเตรียมเครื่องสดและการประดับตกแต่งล่องถุน
เครื่องสดและการแทงหยวกนั้นเป็นงานศิลปะที่ใช้ฝีมือประกวดประขันกันมากทำกันอย่างหามรุ่งหามค่ำกันทีเดียว ถือเป็นงานมีหน้ามีตา จะมีแต่งานใหญ่ๆ เช่นงานของพระสงฆ์ที่มีคนนับถือมากๆ ในสมัยโบราณ การแทงหยวกไม่มีการแกะสลักเครื่องสด ใช้หยวกกล้วยแต่งทั้งหมด ต่อมาจึงมีการประยุกต์โดยการเพิ่มเครื่องสด ซึ่งแกะสลักจากผักผลไม้เรียกว่า การแทงหยวกประกอบเครื่องสด ผักผลไม้ที่นิยมใช้ ได้แก่ ฟักทอง หัวแครอท เผือก มันเทศ มะละกอ มันแกว เป็นต้น นำมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ เครื่องอุปโภคบริโภคสัตว์และตัวละครในวรรณคดี โดยจะเน้นเนื้อหาเป็นชุดหรือเป็นเรื่อง ประดับตกแต่งล่องถุนของเชิงตะกอนทั้ง 4 ด้าน เช่น ด้านที่ 1 เป็นเรื่องราวทางวรรณคดีอย่างรามเกียรติ์ พระอภัยมณี ด้านที่ 2 ทำเป็นชุดเครื่องคาวหวาน ด้านที่ 3 ทำเป็นสัตว์สี่เท้า สองเท้า โดยเฉพาะตัวนก ด้านที่ 4 ทำเป็นสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา หรือพลิกแพลงสร้างรูปอื่นๆ เป็นการอวดฝีมือช่าง
กระบวนการจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับงานช่างแทงหยวก
ปัจจุบันเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล จนกระทั่งการนำไปเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ไปสู่ประชาชนนั้นเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นผลดีต่อการจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับงานช่างแทงหยวก เช่น โรงเรียนเริ่มมีการจัดการเรียนการสอนวิชาช่างแทงหยวกเข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาในท้องถิ่น เป็นต้น จึงส่งผลให้มีการจัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับงานช่างแทงหยวกไว้ทั้งในรูปแบบของวิทยานิพนธ์ หนังสือ และเอกสารเผยแพร่ต่างๆ เป็นต้น
ขณะเดียวกันสกุลช่างต่างๆ ที่ยังคงมีเหลืออยู่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของงานช่างแทงหยวกด้วยเช่นกัน จึงมีการสอนและสืบทอดกันในครอบครัวของช่างเอง และสอนให้กับบุคคลที่สนใจใฝ่หาความรู้ ทั้งเพื่อการนำไปประกอบเป็นอาชีพ และเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
งานช่างแทงหยวกกับสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน
วิถีการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบันนั้นมีการแข่งขันกันสูงในทุกๆ ด้าน จนไม่มีเวลาเหลือพอที่จะสนใจเรื่องอื่นๆ ที่ไม่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเรื่องของศิลปวัฒนธรรมของไทยเราจึงเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่มที่มีความสนใจ วัฒนธรรมต่างๆ ที่มีการสืบทอดกันมาก็เริ่มสูญหายไป เช่นเดียวกันกับงานช่างแทงหยวก ที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของงานอวมงคล หรืองานศพ ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วยังมีความเกี่ยวข้องกับงานมงคลต่างๆ อันได้กล่าวอ้างไปแล้วในเนื้อข้างต้น
รูปแบบการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับงานแทงหยวก จึงกลายมาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานศพ หรือวัฒนธรรมเกี่ยวกับเรื่องของการตาย ช่างแทงหยวกที่มีฝีมือในปัจจุบันนั้นมีจำนวนน้อย และเป็นที่รู้จักเฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น ปัจจุบันงานช่างแทงหยวกกลายมาเป็นหนึ่งในรูปแบบของประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของงานศพ ซึ่งมีอัตราค่าจ้างสูงมาก ซึ่งผิดกับในยุคโบราณซึ่งจะเป็นลักษณะของงานที่ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ตาย
ลักษณะพิเศษและเอกลักษณ์ของงานช่างแทงหยวก
1. ไม่มีการร่างลวดลายลงบนกาบกล้วย หรือหยวกกล้วยก่อน ช่างแทงหยวกจึงต้องมีความชำนาญ ทักษะ และจังหวะที่ดี จึงจะแทงหยวกได้สวยงาม ลวดลายมีความสม่ำเสมอกัน
2. เป็นงานที่ต้องทำแข่งขันกับเวลา กล่าวคือ ต้องเตรียมการและปฏิบัติงานแทงหยวกก่อนใช้งานในระยะเวลาไม่เกิน ๑๐ – ๑๒ ชั่วโมง
3. วัสดุที่นำมาใช้ล้วนแต่เป็นของธรรมชาติ ที่สามารถหาได้ในท้องถิ่นนั้น ต้นกล้วยที่ใช้ในงานแทงหยวก คือ กล้วยตานี เพราะมียางน้อย กาบด้านในมีสีขาว (กล้วยหักมุก สามารถนำมาได้เหมือนกัน)
4. มีเอกลักษณะเฉพาะถิ่นทั้งรูปแบบและลักษณะของลวดลายในแต่ละท้องถิ่นมีการใช้ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเชื่อและประเพณีที่สืบทอดกันมา
5. ลายที่ใช้ในงานช่างแทงหยวก คือ ลายไทย เป็นหลัก อาจมีการแผลง หรือผันแปรไปตามจินตนาการของช่างแทงหยวกในยุคปัจจุบัน
6. เป็นงานช่างที่สืบทอดกันมานานนับแต่สมัยโบราณ
7. ลักษณะเฉพาะของงานช่างแทงหยวกในราชสำนัก จะต้องประกอบไปด้วยงาน ๓ ประเภท คือ งานช่างแทงหยวก งานช่างแกะสลักของอ่อน และงานช่างประดิษฐ์ดอกไม้สด
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และความเชื่อที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ดังนั้นช่างต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ ต่างก็มีวิถีความเชื่อ ในการสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน สกุลช่างต่างๆ จึงเกิดขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางด้านต่างๆ ที่แตกต่างกันบนพื้นฐานของประเพณีและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นนั้น
คุณค่าของงานช่างแทงหยวก
คุณค่าของงานช่างแทงหยวกสามารถแสดงออกมาได้หลายมิติ หรือหลายด้าน เช่น ด้านวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการตาย ซึ่งสืบทอดกันมาแต่โบราณ มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นจากพิธีกรรมของคนที่นับถือพุทธศาสนา เกี่ยวเนื่องมาจากพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเผาศพ แต่เดิมการเผาศพมักจะเผาศพบนเมรุชั่วคราว ในบริเวณกลางแจ้ง ทำด้วยไม้ ล้อมเป็นอาณาเขตทำด้วยไม้ไผ่ หรือวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นนั้น ประดับประดาด้วยกระดาษสีและผ้า เชิงตะกอนสำหรับใช้เผาศพจะรองด้วยต้นกล้วยก่อนที่จะวางเรียงท่อนฟืนและหีบศพ ด้วยเหตุที่ว่าต้นกล้วยและกาบกล้วยมีน้ำและความชื้นเป็นฉนวนกันไฟไม่ให้ไหมเชิงตะกอน กว่าจะเผาศพมอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่านก็ใช้เวลานาน ดังนั้นจึงจะต้องใช้ต้นกล้วยมาล้อมฐานเชิงตะกอน วิวัฒนาการของการใช้ต้นกล้วยล้วน เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการใช้ต้นกล้วยมาเป็นการลอกกาบกล้วยออกมา และคิดสร้างสรรค์ลวดลายให้ปรากฏบนกาบกล้วย ด้วยวิธีการของช่างฯ จนกลายมาเป็นงานช่างแทงหยวกในปัจจุบันที่มีความงดงามประกอบเป็นรูปทรงต่างๆ หากแต่ยังคงคุณลักษณะพิเศษของการใช้งานอยู่เดิม
สถานภาพปัจจุบันของการถ่ายทอดความรู้และทักษะเกี่ยวกับงานช่างแทงหยวก
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเมื่อหลายๆ ปีที่ผ่านมา พบว่าสถานภาพการถ่ายทอดความรู้และทักษะต่างๆ เกี่ยวกับงานช่างแทงหยวกนั้นดีกว่า มีทางเลือกมากขึ้น ทั้งการเผยแพร่ความรู้ผ่านทางสื่อโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต และสื่อต่างๆ ทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับภูมิภาค เป็นต้น แต่ก็ยังคงมีปัญหาและอุปสรรค เช่น ค่าอุปกรณ์ที่มีราคาแพง (มีดแทงหยวก) ระยะเวลาในการถ่ายทอดอาจจะสั้นเพราะปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
เมื่อมีการเข้าถึงซึ่งแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้เกี่ยวกับงานช่างแทงหยวกได้หลากหลาย สิ่งที่ตามมาคือการเลื่อนไหลทางวัฒนธรรม อันมีผลกระทบโดยตรงทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่เหมาะสมต่อรูปแบบของงานช่างแทงหยวกในสกุลช่างต่างๆ ซึ่งอาจมีการนำรูปแบบที่มิใช่ของตนเองเข้าไปผสมผสานจนเกิดความผิดเพี้ยนไปจากเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตน จนอาจทำให้คนรุ่นหลังเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ตนเองรับรู้มาเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับงานช่างแทงหยวกในสกุลช่างต่างๆ ดังนั้นหากผู้เป็นช่างฯ ขาดความรู้ความเข้าใจในรากเหง้าทางวัฒนธรรมและเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ผู้สืบทอดงานช่างฯ เองก็อาจเป็นต้นเหตุของการล่มสลายไปของงานช่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นนั้นไปได้ด้วยเช่นกัน