ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ งานแต่ง เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนบประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม ขนมไทยดั้งเดิม มีส่วนผสมคือ แป้ง น้ำตาล กะทิ เท่านั้น ส่วนขนมที่ใช้ไข่เป็นส่วนประกอบ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เม็ดขนุน นั้นคือ (ท้าวทองกีบม้า) หญิงสาวชาวโปรตุเกส เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ ก็คือขนมจากไข่ และเชื่อกันว่าชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ เช่น รับประทานฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน รับประทาน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน รับประทาน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เจริญ รับประทานขนมทองเอก ก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น ในสมัยรัชกาลที่ 1มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย และนับว่าเป็นยุคที่ขนมไทยเป็นที่นิยม

วุ้นกะทิเป็นขนมหวานที่ทำง่าย ราคาไม่แพง ใช้รับประทานได้ทุกโอกาสและทุกวัย สามารถดัดแปลงให้มีรสชาติแตกต่างกัน ได้หลายรสเช่นวุ้นกะทิใบเตยวุ้นผลไม้รวมรสต่างๆ วุ้นกาแฟเป็นต้นนอกจากจะเพิ่มการปรุงแต่งด้วย รสชาติให้หลากหลายแล้วยังเป็นการเพิ่มความ สวยงามของสีสัน และเพิ่มกลิ่นได้อีกด้วย

วิธีทำวุ้นกะทิ

ส่วนประกอบ

ส่วนหวาน (ใบเตย)

1. น้ำใบเตยปั่นละเอียด 500 มล.

2. น้ำตาลทราย 100 ก.

3. ผงวุ้น 5 ก.

ส่วนเค็ม (กะทิ)

1. กะทิ 500 มล.

2. เกลือป่น 1/2 ชช.

3. ผงวุ้น 5 ก.

อุปกรณ์ที่ใช้

หม้อ แม่พิมพ์

วิธีทำวุ้นกะทิใบเตย

1. นำส่วนผสมส่วนเค็ม(กะทิ)ทั้งหมดเทลงหม้อ คนให้เข้ากันพักไว้ 5 นาที

2. จากนั้นเปิดไฟแรง หมั่นคนทั้งสองหม้อ เมื่อส่วนผสมเดือดดีแล้วค่อยเทลงพิมพ์

3. เทส่วนผสมในแต่ละชั้น ส่วนเค็มชั้นหนึ่งและหวานอีกชั้นหนึ่ง พักในแต่ละชั้นประมาณ 3 นาที ค่อยเริ่มเทชั้นต่อไป

4. เมื่อเทจนเต็มพิมพ์ นำเข้าตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชม. เป็นอันเสร็จ