มอญ เป็นชนชาติแรกๆ ที่มีอารยธรรมสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Emmanuel Gulion, ๑๙๙๙) ปัจจุบันชนชาติมอญไม่มีประเทศปกครองตนเอง แต่อารยธรรมด้านต่างๆ เช่น ภาษา ศาสนา สถาปัตยกรรม วรรณกรรม กฎหมาย นาฏศิลป์ และดนตรี ล้วนส่งอิทธิพลต่อชนชาติต่างๆในภูมิภาค นักภาษาศาสตร์จัดให้มอญอยู่ในกลุ่มชนชาติที่พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร (Austro-Asiatic) และเชื่อกันว่า ถิ่นฐานเดิมของมอญอยู่ในแถบดินแดนอินเดียตอนใต้ในปัจจุบัน จากหลักฐานการเรียกชื่อชนชาติว่า “ตะเลง” ซึ่งจะใช้เรียกคนที่มาจากอินเดียตะวันออก สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า ตะลิงคนะ (Talingana) อันหมายถึงแคว้นกลิงคะ ด้านชายฝั่งตะวันออกของอนุทวีปอินเดีย (Emmanuel Guilon,๑๙๙๙) แสดงถึงความสัมพันธ์ของชาวมอญกับชาวแคว้นกลิงคะ สอดคล้องกับตำนานของมอญที่ตกทอดอยู่ในบทเพลงที่กล่าวถึงมอญ ๓ กลุ่ม คือ “มอญเดิง” อาศัยอยู่ในเมืองหงสาวดี มาจากลุ่มน้ำคงคา “มอญเตี๊ยะ” อาศัยอยู่ในเมืองพะสิม มาจากแคว้นกลิงคะ “มอญญะ” อาศัยอยู่ในเมืองมะละแหม่ง มาจากปากแม่น้ำโคธาวารี (Nai Pan Hla,๑๙๙๒) อย่างไรก็ตาม ภาษาตระกูลมอญ-เขมร เป็นภาษากลุ่มเดียวกับภาษามุณฑะ (Munda) ของเผ่ามองโกลอยด์สาขาหนึ่งที่อพยพมาจากภูเขาหิมาลัย ลงมายังปากแม่น้ำคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร แล้วอพยพต่อไปในแคว้นพิหารและแคว้นอัสสัมทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียก่อนอพยพเข้ามายังดินแดนแถบสุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน (ผาสุก อินทราวุธ,๒๕๔๘) นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงเชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของมอญอยู่ทางตะวันตกของจีน เนื่องจากเป็นถิ่นฐานของชนเผ่ามองโกลอยด์ และแหล่งกำเนิดของภาษาตระกูลมอญ-เขมร (สุภรณ์ โอเจริญ,๒๕๔๑)
อาณาจักรมอญในอดีตอยู่ทางตอนใต้ เป็นเมืองท่าชายทะเล ทำการค้ากับต่างชาติมีความมั่งคั่งรุ่งเรือง ในขณะที่อาณาจักรพม่าอยู่ทางตอนเหนือมีอารยธรรมที่ต่ำกว่า ขาดแบบแผนทางศาสนาที่มั่นคง ที่สำคัญไม่มีทางออกทะเล ความจำเป็นของพม่าคือการโจมตีมอญเพื่อยึดครองแหล่งทรัพยากรต้องการอารยธรรม และหาทางออกสู่ทะเล มอญกับพม่าจึงจำต้องทำศึกสงครามกันหลายต่อหลายครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่ตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่มอญจะตกอยู่ภายใต้อำนาจพม่า (สุภรณ์ เจริญ,๒๕๔๑) สงครามครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ.232qทำให้มอญสูญเสียเอกราชแก่พม่ามาจนทุกวันนี้ สงครามครั้งนั้นเป็นสงครามที่รุนแรง เนื่องจากพม่าต้องการขุดรากถอนโคนเพื่อมิให้ตั้งตัวขึ้นมาได้อีก ชาวมอญบางส่วนได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทย ทุกครั้งที่มีการอพยพจะมีกษัตริย์หรือขุนนางมอญชั้นสูงเป็นหัวหน้า และมีใบบอกเข้ามาล่วงหน้า เท่าที่มีการบันทึกไว้ทั้งสิ้น ๙ ครั้ง นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.๒๑๑๒-๒๑๓๓) เป็นต้นมา จนกระทั่งครั้งสุดท้าย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.๒๓๕๘) ทุกครั้งพระมหากษัตริย์ไทยมักโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินเพื่อสร้างบ้านเรือนและที่ทำกินใกล้พระนคร เช่น พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ราชบุรี นนทบุรี และสมุทรปราการ เป็นต้น ตั้งหัวหน้าดูแลปกครองกันเอง ส่วนขุนนางที่รับราชการมาแต่เดิมในเมืองมอญ โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในตำแหน่งเดิม ต่อมาเมื่อที่ดินทำกินคับแคบ ประกอบกับการเดินทางค้นพบที่ทำกินลู่ทางการค้าใหม่ จึงเกิดชุมชนมอญขึ้นหลายแห่ง ปัจจุบันมีชุมชนมอญกระจายอยู่ทั้งสิ้น ๓๗ จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มน้ำภาคกลาง และมีจำนวนไม่มากที่อยู่ทางภาคอีสาน ภาคเหนือ ตลอดจนภาคใต้ของประเทศไทย
ชุมชนมอญในจังหวัดสมุทรสาคร จำแนกตามความแตกต่างของประวัติความเป็นมา สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ
กลุ่มแถบตำบลบ้านเกาะและท่าทราย คนมอญกลุ่มนี้ไม่มีหลักฐานระยะเวลาการตั้งชุมชนที่ชัดเจน แต่เชื่อได้ว่าเป็นชุมชนดั้งเดิม อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มแถบตำบลมหาชัยและย่านสองฝั่งคลองสุนัขหอน (อันได้แก่ ตำบลท่าจีน บางกระเจ้า และบ้านบ่อ) ชุมชนมอญกลุ่มนี้เกิดขึ้นในราวสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เนื่องจากโปรดเกล้าฯ ให้มอญจากเมืองพระประแดงมาสร้างป้อมวิเชียรโชฎก พร้อมทั้งให้อยู่ดูแลป้อม และขุดคลองสุนัขหอน ภายหลังจากขุดคลองเสร็จได้พากันตั้งหลักฐานบ้านเรือนอยู่ริมคลองสุนัขหอนทั้งสองฝั่งไม่ได้โยกย้ายออกไป
ศูนย์กลางขอชุมชนมอญแรกเริ่มในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมอญกลุ่มดั้งเดิมที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดสมุทรสาคร ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หากแต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมมอญที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อเทียบเคียงวิถีชีวิตกับผู้คนในถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมตามที่บรรพชนได้จดบันทึกกันไว้ นั่นคือที่เมือง มะละแหม่ง เมืองมอญ (ประเทศเมียนมา) มีรูปแบบวิถีชีวิตใกล้เคียงและสอดคล้องกันอย่างมาก ทว่ามีความแตกต่างจากชุมชนมอญจังหวัดอื่นๆ ในเมืองไทยหลายประการ
ในความรับรู้ของผู้คนทั่วไป โดยมากจะรับรู้ว่ามีคนมอญอยู่ที่พระประแดง สามโคก และปากเกร็ดเนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยระบุชัดว่า ชุมชนมอญเหล่านี้อพยพโดยมีใบบอกมาล่วงหน้า พระเจ้าแผ่นดินโปรดเกล้าฯ ให้จัดกองทัพออกไปรับและจัดสถานที่ให้อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการ แต่มอญในจังหวัดสมุทรสาครที่เป็นกลุ่มดั้งเดิมนั้น คาดว่าอพยพมาจำนวนไม่มาก แล้วค่อยรวมตัวกันภายหลัง หรืออาจเข้ามาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ บันทึกของชาวมอญระบุว่า คนมอญในจังหวัดสมุทรสาครน่าจะอพยพเข้ามาในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งเป็นมอญกลุ่มแรกๆ ที่ไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากมอญในแถบจังหวัดสมุทรสาครส่วนหนึ่งอพยพมาจากเมืองมะละแหม่ง ซึ่งมีชายแดนติดต่อกัน มีเพียงเทือกเขาตะนาวศรีกั้นกลาง จึงมีการอพยพเข้ามาครั้งละเล็กละน้อยอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเมื่อพื้นที่อยู่อาศัยคับแคบลงก็มีการอพยพเคลื่อนย้ายไปตามลุ่มแม่น้ำแม่กลอง มีชุมชนมอญเรียงรายตามเส้นทางน้ำสายนี้ ตั้งแต่ กาญจนบุรี ราชบุรี ตลอดจนปากแม่น้ำแม่กลองในจังหวัดสมุทรสงคราม และยังมีคลองสุนัขหอนเชื่อมถึงชุมชนมอญปากแม่น้ำแม่กลอง ถึงชุมชนมอญปากแม่น้ำท่าจีน นั่นคือ แถบจังหวัดสมุทรสาครในปัจจุบัน
“เถระรูปป่อดต็อย” หนังสือมอญที่พิมพ์ในเมืองมอญ (ประเทศเมียนมา) ได้รวบรวมประวัติพระเถระธรรมยุติกนิกายของมอญ (มอญเมืองมอญประเทศเมียนมา เรียกว่า นิกายมหาเย็น) ระบุว่าผู้ที่นำพุทธศาสนาแบบธรรมยุติกนิกายจากเมืองไทย ไปเผยแผ่ที่เมืองมอญ คือ พระไตรสรณธัช (เย็น) โดยระบุว่า"ท่านมหาเย็นเป็นผู้สถาปนาธรรมยุติกนิกายในเมืองมอญ เมื่อเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๓ ค่ำ วันพฤหัสบดี ปีจุลศักราช ๑๒๐๓ (พ.ศ.๑๒๕๓) ท่านด้ถือกำเนิดในหมู่บ้านมอญ ชื่อบ้านคลองครุ จังหวัดสมุทรสาคร....."พระอาจารย์เย็นอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ สอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค มีความเชี่ยวชาญในภาษามอญและบาลี มีลูกศิษย์ศึกษาในสำนักเรียนของท่านเป็นจำนวนมาก ภายหลังได้ลาสิกขา และเข้ารับราชการเป็นมหาเล็กในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เกิดจากเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น ธิดาเจ้าเมืองพระประแดง) เป็นเวลา ๑ ปี จากนั้นได้เดินทางไปเมืองมอญเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๙ จนเบื่อหน่ายวิสัยฆราวาส จึงได้อุปสมบทอีกครั้งที่นั่น และได้นำ"ธรรมยุติกนิกาย"ไปเผยแผ่ลได้สร้างวัดมอญธรรมยุติ หรือ "วัดมหาเย็น" ขึ้น จำนวน ๕๒ วัด (ปัจจุบันในประเทศเมียนมามีวัดมอญธรรมยุติทั้งสิ้น ๘๑ วัด) เมื่อพิจารณาจากปีที่อาจารย์เย็นเกิด คือ ปี พ.ศ. ๒๓๘๔ และเป็นบุตรคนที่ ๒ ของครอบครัวแล้ว ทำให้น่าเชื่อว่าครอบครัวอาจารย์เย็นคงได้ตั้งรกรากขึ้นที่บ้านคลองครุ จังหวัดสมุทรสาคร เป็นเวลาล่วงมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๑๘๐ ปี
นอกจากนี้ กรมการศาสนายังระบุถึงวัดมอญที่สำคัญในตำบลบ้านเกาะ คือวัดบางปลา สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๐ และวัดเกาะ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๘ สอดคล้องกับกรมศิลปากรที่ระบุว่า อุโบสถวัดเกาะมีรูปแบบสถาปัตยกรรม การตกแต่ง รวมทั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องยืนในอุโบสถ เป็นศิลปะแบบมอญ สมัยอยุธยาตอนปลาย
แม้หลักฐานที่กล่าวถึงการเข้ามาของมอญในจังหวัดสมุทรสาครที่เป็นลายลักษณ์อักษร มรเพียงกรณีเดียวที่กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมวิเชียรโชฎกและคลองสุนัขหอน และให้ยกครัวมอญในเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) จากพระประแดงไปทำมาหากินและอยู่ดูแลป้อมวิเชียรโชฎกที่จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๑ อย่างไรก็ตาม ประวัติวัดป้อมวิเชียรโชติการาม ตำบลมหาชัย ซึ่งตั้งอยู่ติดกับป้อมวิเชียรโชฎกนั้น กรมการศาสนาระบุว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๓ ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่า วัดแห่งนี้มีมาก่อนการสร้างป้อมวิเชียรโชฎก เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๑ (ใกล้เคียงกับการเกิดขึ้นของวัดบางปลาและวัดเกาะ วัดป้อมวิเชียรโชติการามจึงอาจเป็นวัดที่สร้างโดยคนมอญหรือไม่ใช่ก็ได้) แต่ภายหลังเมื่อมีคนมอญเข้ามาอาศัยอยู่โดยรอบจึงอาจได้ช่วยกันบูรณะวัดร้างแห่งนี้ขึ้น โดยใช้วัดแห่งนี้ในการอุปสมบทลูกหลานและประกอบพิธีกรรมสืบต่อพระพุทธศาสนามาโดยตลอด วัดป้อมวิเชียรโชติการามจึงกลายเป็นวัดมอญในที่สุด (องค์ บรรจุน, ๒๕๔๘ก)
ดังจะพบได้ว่าคนมอญ ๒ กลุ่มนี้มีความแตกต่างกันทั้งความเป็นมาและรูปแบบวัฒนธรรม ดังที่ผู้สูงอายุในตำบลบ้านเกาะและตำบลท่าทรายยืนยันว่า ไม่มีใครมีญาติพี่น้องอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีต่างกับชาวมอญบ้านบางกระดี่บางตระกูลที่เมื่อถึงพิธีแต่งงานจะต้องไปทำพิธี“ชักอะโลน”นั่นคือการบอกลาวิญญาณบรรพชนยังศาลในหมู่บ้านดั้งเดิม ที่แสดงให้เห็นว่าคนมอญบางกระดี่บางส่วนมีรากเหง้ารวมกันกับคุณมอญปทุมธานี นอกจากนี้คนมอนในจังหวัดสมุทรสาครกลุ่มดั้งเดิม (รวมทั้งมอญกลุ่มนี้ที่อพยพไปตั้งรกรากในจังหวัดอื่นๆ เช่น ไทรน้อย บางเลน บางขุนเทียน หนองจอก ลาดกระบัง บางน้ำเปรี้ยว) ยังมีการนับถือสืบทอดผีผ่านลูกชายคนเล็กเช่นเดียวกับชุมชนมอญหมู่บ้านกะมาวักในเมืองมะละแหม่ง ต่างจากมอญชุมชนอื่นๆของไทย จึงน่าเชื่อได้ว่า มอญในแถบสองตำบลของจังหวัดสมุทรสาครซึ่งเป็นมอญกลุ่มดั้งเดิมนี้อพยพมาจากหมู่บ้านกะมาวัก เมืองมะละแหม่งในราวสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายถึงช่วงกรุงธนบุรีกับอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นมอญที่อพยพมาเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญจากเมืองพระประแดงสมุทรปราการ เข้ามาขุดลอกคลองสุนัขหอน สร้างป้อมวิเชียรโชฎก และอยู่ดูแลป้อมเมื่อปีพ.ศ. 2371 และแม้ว่ามอญ ๒ กลุ่มนี้จะมีประวัติความเป็นมาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่การอยู่ร่วมอาศัยใกล้ชิดจึงได้เกิดการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมจนเกิดความกลมกลืนกัน อาจแตกต่างกันบ้างในเรื่องของความเป็นมา สำเนียงภาษาการพูด และความเชื่อในเรื่องของผีบรรพชน