ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเรา
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมเวบไซต์ m-culture.in.th

เราได้จัดทำแบบสำรวจแบบง่ายๆ เพื่อจะ
ได้ทราบถึงสิ่งที่ผู้เยี่ยมชมเวบไซต์เรา
ชอบและให้เราได้เรียนเกี่ยวกับคุณมากขึ้น
 
ละติจูด (รุ้ง) : N 16° 26' 55.1314"
16.4486476
ลองจิจูด (แวง) : E 100° 18' 56.5135"
100.3156982
เลขที่ : 194085
พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส
เสนอโดย พิจิตร วันที่ 4 กันยายน 2564
อนุมัติโดย พิจิตร วันที่ 4 กันยายน 2564
จังหวัด : พิจิตร
0 887
รายละเอียด

ประวัติความเป็นมา

พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส (ปฐมองค์พระพิจิตร) พระพุทธประธาน วัดถ้ำชาละวัน ตำบลคลองคะเชนทร์ อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เป็นพระประธานขนาดใหญ่องค์แรกของจังหวัดพิจิตร ซึ่งมีพระพุทธลักษณะเป็นของจังหวัดพิจิตร จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวรกาสที่ทรงเจริญพระชนพรรษา 85 พรรษา

พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส เป็นพระพุทธรูปที่มีพระพุทธลักษณะงดงาม และทรงพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งของจังหวัดพิจิตร พระพุทธลักษณะองค์พระพิจิตรพุทธมงคลฯ เป็นพุทธศิลป์ร่วมสมัย เชียงแสน สุโขทัย รุ่นแรกหล่อด้วยโลหะทองเหลือง ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง ๕๔ นิ้ว พระเกศเปลวเพลิงคต มีพระพิจิตรเกศคต ด้านละ ๑ องค์ ที่ประทับนั่งบนฐานที่มีรูปบัวคว่ำบัวหงายรองรับ ๓๘ กลีบแต่ละกลีบมีพระพิจิตรเกศคต ๑ องค์ สร้างในปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ โดยการดำริของพระเดชพระคุณพระราชสิทธิเวที,รศ.ดร. เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ที่อยากจะมีพระพุทธรูปศิลปะพิจิตรสักองค์หนึ่ง นับว่าการจัดสร้างพระพิจิตรพุทธมงคลฯในครั้งนี้ ถือว่าเป็น “ปฐมองค์พระพิจิตร” เมื่อใครได้ไปเที่ยวเมืองพิจิตรจะต้องแวะมาที่วัดถ้ำชาละวัน เพื่อมานมัสการ พระพิจิตรพุทธมงคลฯ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และขออำนาจ “องค์พระพิจิตรพุทธมงคลฯ” ให้ช่วยปกป้องรักษา หรือปัดเป่าความทุกข์ยากให้หมดไป ด้วยเดชะบารมีขององค์พระพิจิตรพุทธมงคลฯ ก็จะช่วยทุกราย

ประวัติการสร้างพระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส

ถ้าพูดถึงจังหวัดพิจิตร สาธุชนคนทั่วไปจะนึกถึง พระคู่บ้าน คู่เมือง ของจังหวัดพิจิตร คือ หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง พระอารามหลวง ที่ทุกคนในประเทศต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าพูดถึงหลวงพ่อพระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส ทุกคนจะไม่ค่อยได้ยินชื่อของท่านมากนัก เพราะเป็นพระพุทธรูปหล่อขึ้นใหม่ โดยการดำริของพระทีฆทัสสีมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร (ปัจจุบันคือ พระราชสิทธิเวที,รศ.ดร.) ที่มีความประสงค์อยากจะมีพระพุทธรูปศิลปะพิจิตรสักองค์หนึ่ง เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานประจำอุโบสถ วัดถ้ำชาละวัน ให้เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดพิจิตรอีกสักองค์ จึงได้นำพระกรุโบราณชิ้นสำคัญของจังหวัดพิจิตร คือพระพิจิตรกลีบบัวโดยได้นำพระกรุชิ้นนี้ ให้ช่างถอดแบบวาดภาพพุทธลักษณะออกมา ก่อนที่จะได้ให้ช่างขึ้นหุ่น และเททองหล่อเมื่อปี ๒๕๕๖ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนพรรษา 85 พรรษา สร้างขึ้นเป็นปฐมองค์พระพิจิตร พระพุทธรูปสำคัญที่จะต้องจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของเมืองพิจิตร เป็นพระพุทธรูปองค์ปฐมแห่งพุทธศิลป์พิจิตร ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถหลังใหม่ ของวัดถ้ำชาละวัน ตำบลคลองคะเชนทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธ์มาก

หลวงพ่อพระพิจิตรพุทธมงคลเป็นพระพุทธปฏิมากรที่หล่อด้วยโลหะ สร้างขึ้นตามศิลปะสมัยกรุงสุโขทัย กับศิลปะสมัยเชียงแสน พระพุทธลักษณะพิจิตรปางขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง ๕๔ นิ้ว ที่พระเกศเปลวเพลิงคต มีพระพิจิตรเกศคต ๒ องค์ (หน้า-หลัง) โครงสร้างพุทธสรีระ อย่างศิลปะเชียงแสน พระพักตร์ พระหัตถ์ พระโอษฐ์ พระเนตร พระกรรณ อย่างศิลปะสุโขทัย ฐานกลีบบัวคว่ำ-บัวหงาย มีพระพิจิตรเกศคตองค์เล็กๆ อีก ๓๘ องค์ หมายถึงมงคล ๓๘ ประการ เป็นปฐมองค์พระพิจิตร

และในปีพ.ศ.๒๕๖๑ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ได้พิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดลำดับ จัดทำหนังสือ ๘๙ พระพุทธรูปสำคัญ ในรัชกาลที่ ๙ ประเภทที่ ๖ พระพุทธรูปสำคัญที่หน่วยงาน หรือพสกนิกรสร้างถวายในโอกาสสำคัญ ตามหลักเกณฑ์ พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส จึงได้เป็นหนึ่งใน๘๙ พระพุทธรูปสำคัญในรัชกาลที่ ๙

พุทธลักษณะ ศิลปะของพระพุทธรูปในสมัยต่างๆ ขององค์พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส

พระพิจิตรกลีบบัว

พระเมืองพิจิตร มีการขุดพบจำนวนมากมายเกือบร้อยพิมพ์ ความจริงแล้วมิใช่จะมีแต่เพียงพิมพ์เล็กจิ๋วดังกล่าวทั้งหมด พระซึ่งพบที่เมืองพิจิตรมีตั้งแต่ใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือก็มี (พระแผง) และที่เล็กลงไปเป็นลำดับจนถึงขนาดจิ๋วก็มีมาก กล่าวได้ว่า พระเมืองพิจิตรคงจะมี “พิมพ์” มากมายกว่าเมืองอื่นๆ อย่างน้อยก็ประมาณได้เทียบเคียงเมืองอยุธยา แต่ที่มีขนาดเล็กจิ๋ว จะมีมากกว่าพระของทุกๆ เมือง ซึ่งมีประมาณร่วม ๒๐ พิมพ์ และเท่าที่สืบค้นชื่อต่างๆ ตามแบบพุทธลักษณะขององค์พระ และเป็นชื่อที่วงการพระเรียกขานกันมานานถึงร่วมร้อยปีมาแล้วทั้งสิ้น เช่น พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า, พระพิจิตรเม็ดน้อยหน่า, พระพิจิตรวัดนาคกลาง, พระพิจิตรเกศคด, พระพิจิตรหน้าจั่ว, พระพิจิตรชินราช, พระพิจิตรหลังลายผ้า, พระพิจิตรนาคปรก, พระพิจิตรยอดโถ,พระพิจิตรเม็ดแตง, พระพิจิตรใบมะขาม, พระพิจิตรผงดำ, พระพิจิตรข้างเม็ด, พระพิจิตรกลีบบัว, พระพิจิตรป้อม, พระพิจิตรบ้านกล้วย, พระพิจิตรหน้าโหนก...เหล่านี้ล้วนแต่เป็นพระขนาดจิ๋ว ซึ่งแต่ละองค์ชวนให้พกติดกายคล้องคอบูชายิ่งนัก โดยเฉพาะสุภาพสตรีเหมาะสมมากเพราะขนาดเล็กกะทัดรัดน่ารักมาก และมีน้ำหนักเบาสบาย

พุทธลักษณะของพระพิจิตร เป็นพระรูปทรงหน้าจั่ว สร้างด้วยเนื้อชินเงิน ขนาด ๑๐ x ๑๓ มม. องค์พระประทับนั่งแบบพิมพ์สมาธิบนฐานแบบเรียบตรงชั้นเดียว มีช่องว่างห่างกันพอควรให้เห็นระหว่างพระเพลาและฐานรองรับ ทำให้ทรวดทรงองค์พระแลเห็นเด่นสง่าสวยงาม พระเกศลักษณะแบบทรงสูงเป็นเส้นขีดยาวชี้ตรงขึ้นด้านบน พระพิมพ์นี้มีจุดให้สังเกต ๒ จุด ที่เกิดจากแม่พิมพ์ให้เห็นเป็นจุดตายได้ดี คือ ตรงตำแหน่งช่วงแขนใต้ศอกซ้ายมือขององค์พระ จะมีเส้นเป็นขีดนูนยาวลงมาจรดพระเพลาด้านล่างเพิ่มเกินมาให้เห็นได้ชัดเจนมาก และอีกจุดสังเกตหนึ่งที่บริเวณพระอังสา (ไหล่) ขวามือขององค์พระปรากฏเป็นเส้นนูนขึ้นยาวมาก และยังโค้งเกยเลยด้านบนขึ้นไปอีกเกือบถึงกึ่งกลางพระศอ ซึ่งในพิมพ์นั้นจะไม่มีเส้นพระศอให้เห็น เป็นแบบแบนราบเรียบธรรมดา

ลักษณะบางองค์ปลายเกือบแหลมก็มี บางองค์ทรงรีหัวท้ายมนเกือบจะเป็นทรงกลมเลยก็มี วงการพระก็ยังเรียกชื่อว่า “พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า” เช่นกัน พระพิมพ์นี้ที่พบเห็นแต่ละกรุไม่เหมือนกัน เช่น บางกรุทำเป็นพระประทับนั่งปางสมาธิ และปางมารวิชัยก็มีแต่หายาก ฐานประทับมีทั้งแบบฐานเดียวและ ๒ ชั้น หรือไม่มีฐานเลยก็มี โดยเฉพาะพระเกศจะมีทั้งแบบเกศคด เกศบิด และเกศตรง มีทั้งศิลปะสุโขทัย, อู่ทอง, และอยุธยา เป็นพระเครื่องที่มีอายุเก่ากว่า ๖๐๐ ปีขึ้นไป

พระพิมพ์ “เม็ดข้าวเม่า” จึงมีพิมพ์ลักษณะต่างๆ อย่าง หลากหลายแบบให้พบเห็นในวงการพระทั่วไป พระพิมพ์นี้แบบหนึ่งที่พบเห็นน้อยมากในสนามพระ คือ พระพิจิตรหน้าจั่ว กรุวัดมหาธาตุ นักสะสมบางคนแทบไม่รู้จักพระพิมพ์นี้เลยก็มี นับเป็นพระที่มีพิมพ์แปลกกว่าพิมพ์เม็ดข้าวเม่าอื่นๆ ที่ส่วนมากมักจะมีรูปทรงรีแบบคล้ายมนกลม แต่พิมพ์พระกลับมีลักษณะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมแบบหน้าจั่ว จึงมีนักสะสมรุ่นเก่าๆ บางท่านนิยมเรียกกันติดปากแบบง่ายๆ ว่า พระพิจิตรสามเหลี่ยม

พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน

ประติมากรรมไทยสมัยเชียงแสนเป็นประติมากรรมในดินแดนสุวรรณภูมิที่นับว่าสร้างขึ้นโดยฝีมือช่างไทยเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-21มีปรากฏแพร่หลายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ทางภาคเหนือของไทย แหล่งสำคัญอยู่ที่เมืองเชียงแสนวัสดุที่นำมาสร้างงานประติมากรรมที่ทั้งปูนปั้นและโลหะต่างๆที่มีค่าจนถึงทองคำบริสุทธิ์ประติมากรรมเชียงแสนแบ่งได้เป็น2ยุค คือ เชียงแสนยุคแรก มีทั้งการสร้างพระพุทธรูปและภาพพระโพธิสัตว์หรือเทวดาประดับศิลปสถาน

พระพุทธรูปโดยส่วนรวมมีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรูปอินเดียสมัยราชวงปาละ มีพระวรกายอวบอ้วนพระพักตร์กลมคล้ายผลมะตูม พระขนงโก่ง พระนาสิกโค้งงุ้ม พระโอษฐ์แคบเล็ก พระหนุเป็นปมพระรัศมีเหนือเกตุมาลาเป็นต่อมกลม ไม่นิยมทำไรพระสก เส้นพระสกขมวดเกษาใหญ่พระอุระนูน ชายสังฆาฏิสั้น ตรงปลายมีลักษณะเป็นชายธงม้วนเข้าหากัน เรียกว่า เขี้ยวตะขาบส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิเพชรปางมารวิชัยฐานที่รององค์ พระทำเป็นกลีบบัวประดับ มี ทั้งบัวคว่ำบัวหงาย และทำเป็นฐานเป็นเขียงไม่มีบัวรองรับ ส่วนงานปั้นพระโพธิสัตว์ประดับเจดีย์วัดกู่เต้าและภาพเทวดาประดับหอไตรวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ มีสัดส่วนของร่างกาย สะโอดสะองใบหน้ายาวรูปไข่ทรงเครื่องอาภรณ์เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ในศิลปะแบบปาละเสนะของอินเดียหรือแบบ ศรีวิชัย

เชียงแสนยุคหลัง มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีแบบของลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัยเข้ามาปะปนรูปลักษณะโดยส่วนรวมสะโอดสะ องขึ้น ไม่อวบอ้วนบึกบึน พระพักตร์ยาวเป็นรูปไข่มากขึ้นพระรัศมีทำเป็นรูปเปลว พระศกทำเป็นเส้นละเอียดและมีไรพระศกเป็น เส้นบาง ๆชายสังฆาฏิ ยาวลงมาจรดพระนาภี พระพุทธรูปโดยส่วนรวมนั่งขัดสมาธิราบ พระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดและถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดพระพุทธสิหิงค์ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพฯพระพุทธรูปเชียงแสนนี้มักหล่อด้วยโลหะทองคำและสำริด

พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย

พระพุทธรูปสุโขทัยอาจแบ่งได้ เป็น ๔ หมวดด้วยกันคือ หมวดใหญ่ หมวดกำแพงเพชร หมวดพระพุทธชินราช หมวดเบ็ดเตล็ด

พระพุทธรูปทั้งสี่หมวด แบ่งออกเป็น ๓ รุ่น ด้วยกัน คือ รุ่นแรก มีวงพระพักตร์กลมแบบลังกา รุ่นที่สอง มีวงพระพักตร์ยาว และพระหนุเสี้ยม รุ่นที่สาม น่าจะสร้างในรัชสมัยพระมหาธรรมราชา หรือ พระเจ้าลิไท พระองค์ทรงหาหลักฐานต่าง ๆ จากพระไตรปิฎก มาประกอบการสร้างพระพุทธรูป จึงได้เกิดพระพุทธรูปแบบสุโขทัยขึ้นอีกแบบหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ วงพระพักตร์ รูปไข่คล้ายแบบอินเดีย ปลายนิ้วพระหัตถ์เสมอกันทั้ง ๔ นิ้ว

การแบ่งเช่นนี้สอดคล้องกับ Griswold ซึ่งได้แบ่งพระพุทธรูปทั้ง ๔ หมวดออกเป็น ๓ ยุค คือ ยุคก่อนยุคทอง เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา ยุคทอง คือพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ๒๒ และหลังยุคทอง (พรพรรณ จันทโรมานนท์, ๒๕๔๗ : ๑๔๗)

พระพุทธรูปแบบสุโขทัยมีอิทธิพลของศิลปะแบบลังกาเข้ามาปะปนอยู่มาก และจัดอยู่ในหมวดวัดตะกวนนั้นอาจเป็นพระพุทธรูปแบบสุโขทัยรุ่นแรกด้วย เมื่อกล่าวถึงพระพุทธรูปสุโขทัยที่มีอิทธิพลลังกาปน จะเห็นได้ชัดในพระพุทธสิหิงค์ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติพระนคร พระพุทธสิหิงค์นั้นตามตำนานกล่าวว่า ได้มาจากเกาะลังกาในรัชกาลพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ แต่ลักษณะฝีมือช่างที่เห็นปรากฏอยู่เป็นศิลปะไทยปนลังกาจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าโดยเหตุที่เคยไปประดิษฐานในเมืองต่าง ๆ หลายเมือง คือเมืองนครศรีธรรมราช สุโขทัย อยุธยา กำแพงเพชร เชียงราย และเชียงใหม่ จึงอาจถูกขัดแต่งจนกลายเป็นพระพุทธรูปแบบฝีมือไทยหรือองค์เดิมสูญหายไปเสีย จึงหล่อขึ้นแทนใหม่ในสมัยสุโขทัยนี้ก็เป็นได้ หรืออาจจะแต่งตำนานขึ้นเพื่อประกอบพระพุทธรูปให้ศักดิ์สิทธิ์โดยกล่าวว่ามาจากเกาะลังกาได้เช่นเดียวกัน (สุภัทรดิศ ดิศกุล, ๒๕๔๖ : ๒๗)

“พระพุทธรูปที่มีความงดงามเป็นมงคล รุ่งเรืองด้วยแสงแห่งธรรมอันประเสริฐ

ที่มาของนาม “พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส พระพุทธรูปที่มีความงดงามเป็นมงคล รุ่งเรืองด้วยแสงแห่งธรรมอันประเสริฐ ตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้สร้างและผู้สานต่อ

พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส มีที่มาของนาม ดังนี้

พระพิจิตรพุทธมงคลความหมายคือ ตั้งเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดพิจิตร โดยการดำริของ พระทีฆทัสสีมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร (ปัจจุบันคือ พระราชสิทธิเวที,รศ.ดร.) ที่มีความประสงค์อยากจะมีพระพุทธรูปศิลปะพิจิตรสักองค์หนึ่ง เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานประจำอุโบสถ วัดถ้ำชาละวัน ให้เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองอีกสักองค์

วิโรจนหมายถึง ความรุ่งเรือง พร้อมทั้งเป็นฉายาของอดีตผู้ดูแลวัด คือหลวงพ่อวิโรจน์ วิโรจโนในสมัยที่ท่านดูแลวัดวัดถ้ำชาละวัน เป็นช่วงที่วัดถ้ำชาละวันมีความรุ่งเรืองอย่างมาก และเป็นฉายาของพระราชสิทธิเวที รศ.ดร. (วิรัติ วิโรจโน) เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ในอดีตที่ท่านยังเป็นสามเณรวิรัติ ท่านเป็นผู้ร่วมบุกเบิกวัดร้างถ้ำชาละวัน ร่วมพัฒนา จนเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป และยังเป็นผู้ดำริสร้างพระพุทธปฏิมากรองค์นี้เพื่อรำลึกถึงอดีตที่ท่านเคยเป็นสามเณรอยู่ที่วัดนี้

วรธัมโมหมายถึง ธรรมอันประเสริฐ รวมกับโอภาสหมายถึง แสงสว่าง รวมกันเป็นวรธัมโมภาสจึงหมายถึง แสงสว่างของพระธรรมอันประเสริฐขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังรวมถึงเป็นฉายาของพระครูสังฆรักษ์กิตติคุณ วรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดถ้ำชาละวัน รูปปัจจุบัน ผู้ที่สานงานก่อสร้างอุโบสถ ต่อจากพระราชสิทธิเวที รศ.ดร. เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และพัฒนาวัดถ้ำชาละวัน จนเกิดความเจริญรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชน ทั้งใกล้และไกล

พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาสจึงหมายถึง พระพุทธปฏิมาอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดพิจิตร สื่อถึงแสงพระธรรมอันประเสริฐขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ส่องสว่างไปยังทั่วทุกสารทิศ แสดงถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาที่จะคงอยู่สืบไป และตั้งขึ้นไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้สร้างและผู้สานต่อ ณ วัดถ้ำชาละวัน

บทบูชาพระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส

กาเยนะ วาจายะ เจตสา วา พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส นามะ ปะฏิมัง อิทธิปาฏิหาริยะกะรัง พุทธะรูปัง อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม

ข้าพเจ้าขอนมัสการองค์พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยกายวาจาและใจ ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ข้าพเจ้าตลอดกาลทุกเมื่อเทอญฯ

(พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส อ่านว่า พระ-พิ-จิตร-พุท-ธะ-มง-คล-วิ-โร-จะ-นะ-วะ-ระ-ธัม-โม-ภาส)

คุณค่าและบทบาทของวิถีชุมชนที่มีต่อองค์ความรู้เรื่องนี้

คุณค่าขององค์ความรู้ทางวัฒนธรรม

พระพิจิตรพุทธมงคลวิโรจนวรธัมโมภาส แสดงถึง พลังของความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา แสดงถึงความรัก ความสามัคคี ของชาวบ้าน และประชาชนในจังหวัดพิจิตร จึงได้ร่วมกันสร้างองค์พระพิจิตรพุทธมงคลฯ ขึ้น

การส่งเสริม สนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร ได้ดำเนินงานร่วมกับวัดถ้ำชาละวันในโอกาสต่างๆ พร้อมทั้งได้คัดเลือกให้วัดถ้ำชาละวันเข้าร่วมโครงการจาริกเส้นทางบุญในมิติทางศาสนา "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” จังหวัดพิจิตร ปีงบประมาณ 2564 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร โดยได้กำหนดให้วัดถ้ำชาละวันอยู่ในเส้นทางจาริกเส้นทางบุญในมิติทางศาสนาของจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับวัดถ้ำชาละวันอีกแนวทางหนึ่งด้วย

ข้อเสนอแนะ

ส่วนราชการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรร่วมกันประชาสัมพันธ์วัดถ้ำชาละวันให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพิจิตร และเป็นการสร้างรายได้ให้กับทางวัดและชุมชน

ข้อมูลอ้างอิงบุคคล

พระครูสังฆรักษ์กิตติคุณ วรธมฺโม ตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดถ้ำชาละวัน ที่อยู่ วัดถ้ำชาละวัน หมู่ที่ ๑ ตำบลคลองคะเชนทร์ อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร รหัสไปรษณีย์ ๖๖๐๐๐ เบอร์โทรศัพท์ ๐๘๔-๔๖๙-๙๕๖๑

ข้อมูลอ้างอิงอื่นๆ

สุภัทรดิศ ดิศกุล. ศ.มจ. ศิลปะในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งงที่ ๑๓. กรุงเทพฯ : มติชน. ๒๕๕๐.

กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ๘๙ พระพุทธรูปสำคัญ ในรัชกาลที่ ๙. ระบบฐานข้อมูลสื่อสิ่งพิมพ์(E-Book). สืบค้นจากhttp://webaccess.dra.go.th/rpc/cat/ebook /2563/89BuddhaKingRama9/mobile/index.html(สืบค้นเมื่อ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔)

ชาติ วิศิษฏ์สรอรรถ. พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า พิมพ์สามเหลี่ยม กรุวัดมหาธาตุ จ.พิจิตร. คมชัดลึกออนไลน์สืบค้นจาก https://www.komchadluek.net/amulet/153779 (สืบค้นเมื่อ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๔)

สถานที่ตั้ง
วัดถ่ำชาละวัน
เลขที่ - หมู่ที่/หมู่บ้าน 1 ซอย - ถนน -
ตำบล คลองคะเชนทร์ อำเภอ เมืองพิจิตร จังหวัด พิจิตร
รายละเอียดการเข้าถึงข้อมูล
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร
บุคคลอ้างอิง นายอภิสิทธิ์ ศรีสุพรรณ อีเมล์ apisit123new@gmail.com
ชื่อที่ทำงาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร อีเมล์ culture.phichit01@gmail.com
เลขที่ - หมู่ที่/หมู่บ้าน 1 ซอย - ถนน -
ตำบล ในเมือง อำเภอ เมืองพิจิตร จังหวัด พิจิตร รหัสไปรษณีย์ 66000
โทรศัพท์ 0939832522 โทรสาร ุุ0 5661 2675
เว็บไซต์ www.m-culture.go.th/phichit
แสดงความคิดเห็น
โปรด เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการแสดงความคิดเห็น

ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่แสดงในระบบนี้ จัดเก็บโดยนักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อวัฒนธรรมจังหวัด
       ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์หรือไม่