ข้อรู้หรือไม่?
ผ้าไตรบังสุกุลมีความสำคัญตามคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาของสังคมไทยอย่างไร?
คำว่า “บังสุกุล” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง ผ้าที่พระภิกษุชักจากศพ ที่ทอดไว้หน้าศพ บนด้ายสายสิญจน์หรือผ้าโยงด้วยการปลงกรรมฐาน
ส่วนคำว่า “ผ้าไตร” หมายถึง ผ้า ๓ ผืนของภิกษุ คือ อันตรวาสก (สบง), อุตราสงค์ (จีวร) และสังฆาฏิ (ผ้าทาบ) เรียกเต็มว่าผ้าไตรจีวร
ในสมัยพุทธกาล ผ้าบังสุกุลเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นที่เขาทิ้งแล้ว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ภิกษุผู้แสวงหาผ้าบังสุกุลจะต้องเที่ยวเสาะหาผ้าบังสุกุลตามป่าช้า กองขยะและตามถนนหนทางต่างๆ แล้วนำมาซัก เย็บย้อม ทำเป็นผ้านุ่งและผ้าห่มกันเอง เพราะในสมัยพุทธกาลผ้าเป็นของหายากและมีจำนวนน้อย
ส่วนในยุคปัจจุบัน มิได้เป็นผ้าเปื้อนฝุ่นที่เขาทิ้งแล้วอย่างในสมัยพุทธกาล แต่มักจะเป็นผ้าที่ทายกหรือทายิกา นำมาถวายภิกษุในงานพิธีการต่างๆ ทางด้านศาสนา
ด้วยเหตุนี้ การถวายผ้าบังสุกุล จึงเป็นความเชื่อและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจอย่างแนบแน่น จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ทั้งเป็นอัตลักษณ์ของชาติ ที่คอยจรรโลงคุณธรรม ศีลธรรมและจริยธรรมของพุทธศาสนิกชนสืบไป
จึงกล่าวสรุปได้ว่า การทอดผ้าไตรบังสุกุลในงานอวมงคลนั้น มักนิยมใช้ผ้าไตรแบ่งอันประกอบไปด้วย “จีวรและสบง” สำหรับทอดถวายแด่พระสงฆ์หน้าหีบศพผู้วายชนม์ในลักษณะแนวขวางทับบนภูษาโยงหรือด้ายสายโยง (สายสิญจน์) ซึ่งโยงมาจากหีบศพของผู้วายชนม์ ภาพของผู้วายชนม์หรือเจดีย์บรรจุอัฐิ เพื่อให้พระสงฆ์ทำการพิจารณาชักผ้าบังสุกุล ซึ่งตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธ เชื่อว่าเป็นการบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและระลึกถึงคุณงามความดีของผู้วายชนม์ในวาระสุดท้ายก่อนจะสลายร่างสรีระสังขารต่อไป