วัดสมานรัตนาราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ใกล้กับโครงการเขื่อน ทดน้ำบางปะกง มีเนื้อที่ ตามหน้าโฉนดที่ตั้งวัด ๒๖ ไร่ ๓งาน ๕๐ ตารางวา (ที่ดินนอกวัดไม่มี) ตามคำบอกเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่ในสมัยนั้นเล่าสืบกันต่อกันมาว่ามีครอบครัวหนึ่งอยู่ในฐานะมั่นคง เป็นคหบดีมีคนเคารพนับถือ คือครอบครัวท่านขุนสมานจีนประชา (เดิมชื่อจ๋าย) เมื่อท่านขุนสมานจีนประชาถึงแก่กรรมแล้ว ภรรยาทั้ง ๒ ของท่านขุนสมานจีนประชา นางทิม สืบสมาน และ นางผ่อง สืบสมาน(เพิ่มนคร ) พร้อมด้วย นางยี่สุ่น .. (ผู้เป็นน้องสาว ต่อมาภายหลังได้สร้างพระปรางค์ขึ้นหน้าโบสถ์ ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นอยู่) มีความศรัทธาคิดจะสร้างวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สามีผู้ล่วงลับ จึงได้ดำเนินการสร้างวัด ปรากฏตามหลักฐาน เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๒ เมื่อสร้างวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดใหม่ขุนสมานเพิ่มนคร เป็นวัดราษฎ์ คณะสงฆ์ปกครองวัดสมัยนั้นเป็นฝ่ายมหานิกาย แต่ปกครองไม่นานนัก ผู้สร้างวัดได้ถวายพระในคณะธรรมยุตมี พระครูศิริปัญญามุนี (อ่อน เทวนิโพ) เป็นประธานสงฆ์ในการรับถวายนี้ ชาวบ้านโดยทั่วไปมักเรียกวัดนี้ว่าวัดใหม่ขุนสมานมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเวลาสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสเสด็จออกตรวจสังฆมณฑลทางเรือตามลำแม่น้ำบางปะกง พระองค์ได้เยี่ยมวัด ทรงเห็นป้ายชื่อวัดว่าไม่สอดคล้องกับตำบลไผ่แสวก พระองค์จึงทรงตั้งชื่อเสียใหม่ว่าวัดไผ่แสวก เพื่อให้สอดคล้องกับตำบลดังกล่าวแล้ว ครั้นกาลเวลาล่วงเลยมานานหลายสิบปี ทางราชการได้ยุบตำบลไผ่แสวกไปรวมกับตำบลบางแก้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ มีพระเถระผู้ใหญ่พร้อมด้วยภิกษุสามเณรชาวบ้านอุบาสกอุบาสิกาต่างก็มีความเห็นพร้องกันว่าสมควรที่จะเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ คือให้มีชื่อคำว่าสมาน เพราะเป็นตระกูลที่สร้างวัดและคำว่าแก้ว เพื่อให้สอดคล้องกับตำบล จึงขออนุญาตทางราชการตั้งชื่อวัดเสียใหม่ว่าวัดสมานรัตนารามมาจนทุกวันนี้ วัดสมานรัตนาราม มีเจ้าอาวาสปกครองวัดมาแล้ว ๔รูป ปัจจุบัน ๑รูป รวมเป็น ๕ รูป คือ ๑. พระสมุห์ทัด สุวัณโณ ๒. พระสุชิต สุชิโต ๓.พระครูอนันตธรรมรัต (อนันต์ อติลาโภ) ๔.พระสมุห์เอี่ยม (เอี่ยมบุญเลอ) ๕.พระครูสุทธาภิมุข (ผิน สุทธาภิมุโข สิทธิโกศล) องค์ปัจจุบัน