ปล่องเหลี่ยม
ประวัติ
ปล่องเหลี่ยมเดิมเป็นปล่องไฟโรงงานน้ำตาล ในสมัยนั้นเรียกกันว่า “โรงหีบนครชัยศรี”
(Nakon1-Chei-See Factiry) ของบริษัทน้ำตาลอินโดจีน (Indo Chiness Sugar Company Limited) ประเทศอังกฤษ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๑๓ สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ซึ่งมีนายจอห์น คอสเตเกอร์ (John Costeker) เป็นผู้จัดการทั่วไป นาย จี.เอฟ.ฮิกส์ เป็นผู้จัดการโรงงาน
โรงงานน้ำตาลอินโดจีนแห่งนี้นับว่าเป็นโรงงานเครื่องจักรไอน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกในสยาม ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๑๓ มีการส่งเครื่องจักรจากอังกฤษเข้ามาใช้ในโรงงาน ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ของกรุงเทพฯ ในสมัยนั้น หมอบรัดเล บันทึกไว้ในจดหมายเหตุบางกอกกาเลนดาร์ (Bangkok Calender) ว่า
“ ๓๐ พฤศจิกายน เรือกลไฟ “ยูนา” (Una) ของอังกฤษ เข้ามาพร้อมกับเครื่องจักรของโรงงานน้ำตาลอินโดจีน
๑๔ ธันวาคม เริ่มติดตั้งเครื่องจักรของโรงน้ำตาลอินโดจีน มีการเฉลิมฉลองกันตามสมควร”
โรงงานน้ำตาลอินโดจีนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มีวิศวกรโรงงาน ๖ คน ผู้ช่วยวิศวกร ๔ คน เจ้าหน้าที่แผนกขนส่ง ๑ คน และเจ้าหน้าที่ประจำรถไถเครื่องจักรไอน้ำ (Steam Ploughs) ๑ คน นอกจากนี้ยังมีคนงานจีนอีกจำนวนกว่า ๓,๐๐๐ คน ซึ่งมากกว่าโรงหีบเล็กๆ แบบชาวบ้านแต่เดิมหลายสิบเท่า จึงทำให้ได้รับความสนใจจากพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เสด็จและเดินทางมาเยี่ยมชมโรงงาน จดหมายเหตุสยามรีโปสิตารี (Siam Repository) ของหมอสมิท บันทึกไว้ว่าทั้งสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้า) ล้วนแล้วแต่ได้เคยเสด็จมาเยี่ยมชมโรงงานแห่งนี้ ส่วนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เคยมาเยี่ยมชมโรงงานแห่งนี้ เช่น
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ปัจจัยหลักที่ทำให้มีการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำตาลขึ้นในบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน สืบเนื่องจากภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ ๓ น้ำตาลได้กลายมาเป็นสินค้าออกที่สำคัญ พื้นที่ในแถบลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์จึงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมแหล่งเพาะปลูกอ้อยขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีโรงงานหีบอ้อยทำน้ำตาลจำนวนมากมาตั้งดำเนินกิจการอยู่ ปัจจุบันยังคงมีชื่อหมู่บ้าน และชื่อคลองปรากฏอยู่เช่น “บ้านโรงหีบ” “คลองบ้านอ้อมโรงหีบ” เป็นต้น ซึ่งโรงงานเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำท่าจีน หรือลำคลองขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมหลักที่สำคัญในการขนส่งสินค้าอ้อยหรือน้ำตาล
ลักษณะการดำเนินกิจการของโรงงานน้ำตาลอินโดจีน เริ่มต้นด้วยการทำสัญญาระหว่างตัวแทนของบริษัทกับรัฐบาลสยาม สัญญามีใจความว่า รัฐบาลสยามอนุญาตให้บริษัทน้ำตาลอินโดจีน
จัดตั้งโรงงานน้ำตาลทรายในบริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำท่าจีน ตำบลดอนกระดี อำเภอตลาดใหม่ เมืองนครชัยศรี (ปัจจุบันคือ ตำบลท่าไม้ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร) บริษัทมีสิทธิจับจองที่ดินเพื่อปลูกอ้อยและตั้งโรงงานไม่น้อยกว่าสามพันไร่ โดยบริษัทจะซื้อที่ดินจากราษฏรที่ครอบครองอยู่ตามราคาที่สมควร และเสียภาษีที่ดินตามราคาปกติ การปลูกอ้อยนั้นบริษัทได้จัดการแบ่งที่ดินออกเป็นแปลงเพาะปลูกขนาดย่อยๆ ๒๐ แปลง แต่ละแปลงมีการตัดถนนผ่านเข้าไป เพื่อประโยชน์ในการใช้เครื่องจักรทำงานในไร่อ้อยและการลำเลียงอ้อยจากแปลงปลูกมายังโรงงานโดยเกวียนเป็นพาหนะหลัก
ในระยะต่อมาความต้องการน้ำตาลจากประเทศสยามลดลง ข้าว เป็นสินค้าที่สำคัญเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับน้ำตาลจากต่างประเทศมีคุณภาพดีกว่า ชาวสยามจึงหันไปปลูกข้าวเพื่อการส่งออกแทน ทำให้โรงงานน้ำตาลในแถบนี้ลดปริมาณการผลิตลงและล้มเลิกไปในที่สุด เช่นเดียวกับโรงงานน้ำตาลอินโดจีนในราวปี พ.ศ.๒๔๑๘ หรือห้าปีหลังจากเริ่มดำเนินการก็ได้หยุดกิจการลงเช่นกัน
ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑๐ บ้านปล่องเหลี่ยม ตำบลท่าไม้ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
สภาพภูมิศาสตร์สถานที่ตั้งปล่องเหลี่ยมป็นที่ราบริมแม่น้ำท่าจีน
พิกัดภูมิศาสตร์รุ้ง ๑๓ องศา ๔๐ ลิปดา ๐๐ ฟิลิปดา เหนือ
แวง ๑๐๐ องศา ๑๔ ลิปดา ๕๒ ฟิลิปดา ตะวันออก
หลักฐานทางด้านโบราณคดี
ปล่องไฟและฐานอาคารโรงงาน ลักษณะของปล่องไฟเป็นปล่องแปดเหลี่ยมก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ขนาดความกว้างด้านละ ๔ เมตร ความสูง ๒ เมตร ตัวปล่องความสูงประมาณ
๓๐ เมตร สอบเข้ากันเล็กน้อย บริเวณพื้นที่ที่ติดแม่น้ำท่าจีนปรากฏซากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน ปัจจุบันถูกน้ำเซาะตลิ่งพังทำให้ฐานอาคารดังกล่าวจมอยู่ในแม่น้ำท่าจีน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นท้องคุ้ง นอกจากนี้ชาวบ้านยังบอกเล่าว่า เคยพบเห็นปล่องไฟซึ่งเป็นโลหะทรงกลมจมอยู่ในแม่น้ำเช่นเดียวกัน เดิมปล่องเหลี่ยมนี้ตั้งห่างจากฝั่งแม่น้ำท่าจีนประมาณ ๔๐ เมตร ปัจจุบันระยะตัวปล่องไฟกับแม่น้ำเหลืออยู่เพียง ๑๔ เมตร
การกำหนดอายุสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๑๘
การประกาศขึ้นทะเบียนยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน
รูปแบบของแหล่งโบราณคดีแหล่งอุตสาหกรรมสมัยโบราณถูกทิ้งร้าง