ไหมคือราชินีแห่งเส้นไย ครามคือราชาแห่งสีธรรมชาติ ผ้าไหมย้อมคราม มีความแตกต่างจากการ
นำไหมไปย้อมสีเคมี เนื่องจากครามเป็นพืชธรรมชาติที่สามารถย้อมได้ดีกับผ้าฝ้าย 100 % เท่านั้น งานศึกษาและพัฒนาหม่อนไหม ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ จึงได้ทำการศึกษา คิดค้น ทดลอง นำผ้าไหมมาย้อมครามจนประสบผลสำเร็จ ได้ผ้าไหมย้อมครามที่ มีความเข้มของสีครามเท่ากับผ้าฝ้ายย้อมคราม โดยขยายผลองค์ความรู้ในการย้อมผ้าไหมด้วยครามให้กับกลุ่มทอผ้าไหมบ้านกลาง ตำบลด่านม่วงคำ อำเภอโคกศรีสุพรรณ
เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนผู้ผลิตผ้าไหมมีรายได้ เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มมูลค่าผ้าไหมด้วยการย้อมคราม เนื่องจากผ้าไหมย้อมครามมีราคาสูงและเป็นที่ต้องการของท้องตลาด
กลุ่มทอผ้าไหมบ้านกลาง เกิดจากการรวมตัวของเกษตรกรภายในหมู่บ้าน เพื่อทำกิจกรรมปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้า เพื่อใช้ในครัวเรือนและจำหน่าย การรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2525 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งและเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วม 36 คน โดยทางกลุ่มได้ร่วมกันปลูกต้นหม่อน จำนวน 36 ไร่ กิจกรรมที่สร้างรายได้ให้แก่สมาชิก ได้แก่ การเลี้ยงไหม และทอผ้า การทอผ้าของกลุ่มใช้สีธรรมชาติในการย้อมเส้นฝ้าย และใช้สีเคมีในการย้อมเส้นไหม เมื่อนำเส้นไหมไปทอเป็นผืนผ้าพบว่า ผ้าที่ทอนั้นสีตก ทำให้ไม่เป็น
ที่ต้องการของผู้บริโภคไม่ได้ราคาตามที่กำหนด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดสกลนคร จึงจัดโครงการอบรมการย้อมครามให้กลุ่มเกษตรกร ซึ่งเกษตรกรได้ฝึกฝนการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติและนำความรู้ด้านการย้อมครามมาใช้กับผ้าฝ้ายและทอผืนผ้าเพื่อจำหน่าย ทำให้กลุ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น