รำโทน เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เล่นกันทั่วไปในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง รำโทนจะก่อกำเนิดขึ้นในยุคใดสมัยใดไม่ปรากฏแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่า เล่นสืบต่อกันมานานหลายชั่วคน ท่ารำของรำโทนเป็นการรำที่มีลักษณะเรียกว่า “รำใช้บท” หรือ “รำตีบท” ด้วยเหตุที่มีการร้อง และรำเข้ากับจังหวะเสียงโทน จึงเรียกว่า “รำโทน”
ปัจจุบ้ัน ชาวตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ยังมีการสืบทอดรำโทน มาตั้งแต่ โบราณกาล จนถึง ปัจจุบัน ซึ่งมีป้าเจื้อย เพิ่มสิน ปัจจุบัน อายุ 64 ปี เกิดเมื่อ ปี พ.ศ. 2480 ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ 1 ตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โทรศัพท์ 032 405218 เป็นผู้สืบทอดเพลงรำโทน และพยายามที่ถ่ายทอดให้ลูกหลาน เยาวชนตำบลบางแก้ว ได้อนุรักษืศิลปะการแสดงเรื่องรำโทนเอาไว้
ลักษณะท่ารำของการรำโทน จะมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านคิดสร้างสรรค์เป็นศิลปะประจำท้องถิ่น มีรูปแบบท่าทาง ท่วงที ท่ารำตามบทเพลงในแต่ละเพลง ที่เล่นกันมาแต่โบราณ
อุปกรณ์การเล่น
โทน เครื่องดนตรี เดิมใช้ "โทน" ตีให้จังหวะ "ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น โท่น" หรือ"ป๊ะ โท่น โท่น ป๊ะ โท่น โท่น" ใช้โทนใบเดียวหรือหลายใบก็ได้ ต่อมานิยมใช้ "รำมะนา" แทนเพราะเสียงดังไพเราะและเร้าใจดีกว่า อาจใช้อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ถังน้ำมันตีให้จังหวะแทนก็ได้ นอกจากนี้อาจจะใช้ฉิ่งตีให้จังหวะได้อีกด้วย
วิธีการเล่น
ผู้เล่นชายจะโค้งชวนหญิงออกมารำเป็นคู่ ๆ ช่วยกันร้องรำตามกันไปเป็นวง นักดนตรีก็ตีโทนให้จังหวะเร้าใจ เพลงหนึ่งๆ จะร้องซ้ำ ๓-๔ เที่ยวก็จะเปลี่ยนเพลงต่อไป การรำไม่มีท่ารำแน่นอนตายตัวมักเป็นการใส่ท่าตามเนื้อร้อง ใครต้องการรำคู่กับใครก็เปลี่ยนคู่รำกันตามใจ เด็กๆ หรือผู้มาดูก็ยืนล้อมวง อาจช่วยปรบมือและร้องตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน ผู้เล่นรำโทนแต่งกายสวยงามตามสบายตามสมัย ไม่มีระเบียบแบบแผนอะไรแน่นอนตายตัว
โอกาสที่เล่น
การเล่นรำโทน ไม่มีโอกาสที่แน่นอน ชาวบ้านนึกอยากจะเล่นเมื่อใดก็ชวนกันมาเล่นที่ลานบ้านคนใดคนหนึ่ง จะเล่นตอนกลางคืนเท่านั้นมักเริ่มเล่นตอนหัวค่ำ เล่นกันไปเรื่อยๆ จนไม่มีคนเล่นหรือง่วงนอนกันมากแล้วก็จะเลิกเล่น แยกย้ายกันกลับบ้านของตน
คุณค่า
หนุ่มสาวสมัยก่อนเล่นรำโทนเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เพื่อพักผ่อนหย่อนใจยามเหงาหรือยามค่ำ เป็นการเพิ่มชีวิตชีวาให้กับชีวิต เพลงที่ใช้ร้องมักเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องง่ายๆ เป็นเพลงสั้นๆ ไม่มีชื่อเพลงเฉพาะ มักเรียกชื่อตามวรรคแรกของเนื้อร้อง ไม่บอกชื่อผู้แต่งใครอยากแต่งขึ้นมาใหม่ก็ได้ จำกันร้องตามกันต่อๆ มา เนื้อร้องมักเป็นการเกี้ยวพาราสี ปลุกใจหรือสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่หรือมาจากวรรณคดีไทย เช่น ใครรักใครโค้งใคร สาวรำวง เป็นต้น