มูลนิธิลำนารายณ์ ตั้งอยู่เลขที่ 99 ถนนสุระนารายณ์ ตลาดลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี
ความเป็นมาของมูลนิธิแห่งนี้ เริ่มแรกด้วยท้องถิ่นแห่งนี้ยังไม่เจริญเช่นทุกวันนี้ กล่าวกันว่าในตอนแรกท้องถิ่นนี้ยังเป็นป่าดงดิบ พื้นที่เป็นป่าเขาลำเนาไพร ผู้คนไม่รู้จักมากนักจะมีก็เพียงแต่ผู้ที่อพยพมาก่อนและก็มาตั้งบ้านเรือนเพียงเป็นที่อาศัยไปวันๆ เท่านั้น จะมีบ้างก็เพียงทำไร่เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งในราว พ.ศ. 2500 ผู้คนจากท้องถิ่นอื่นๆ ได้ยินชื่อลำนารายณ์ เข้าบ้างจึงได้อพยพเดินทางมายังท้องถิ่นแห่งนี้เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็เริ่มการอาชีพทำไร่ เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฯลฯ เมื่อชาวไร่ได้รับผลจากการทำไร่ จึงเกิดทำให้มีพ่อค้าเดินทางมารับซื้อพืชไร่ต่างๆ นั้น แรกๆ ก็ยังไม่มีร้านรับซื้อแน่นอน ต่อมาเมื่อการค้าขยายตัวขึ้น จึงคิดตั้งร้านค้าขึ้นมาบ้าง เมื่อการค้าขายข้าวโพดเป็นที่รู้จักออกไปอย่างมาก จึงทำให้มีผู้คนอพยพมามาก รวมทั้งพ่อค้าจากทั่วสารทิศเดินทางมายังลำนารายณ์นี้ จากการที่การค้าเกิดขึ้นมาก ทำให้กลายเป็นตลาดสื่อกลางการค้าขายพืชไร่ เมื่อผู้คนที่อพยพมาจากต่างท้องถิ่นกัน ฐานะและความเป็นอยู่ก็แตกต่างกัน ประกอบกับในบางครั้งก็ประสบกับภัยอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้ชาวตลาดได้คิดและหาทางเพื่อการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางครั้งภัยอันตรายที่เกิดขึ้นมักถึงแก่ชีวิตและเป็นสิ่งจูงใจที่ทำให้ชาวตลาดที่ประกอบด้วยพ่อค้า ประชาชนต่างอาชีพ ต้องช่วยเหลือกัน จึงทำให้คิดกันว่าหากมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการประสบสาธารณภัยต่างๆ ควรจะต้องมีการช่วยเหลือ จึงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สมควรทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย จากเหตุต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือขึ้น ในราว พ.ศ. 2508 เริ่มต้นด้วยบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ประกอบไปด้วย
1. นายสีชัง ชูไชยทิพย์
2. นายเจ็งปัง แซ่ลิ้ม
3. นายฮ่งสื่อ แซ่ตั้ง
4. นายอ่อง ปรีชาลักษณ์
5. นายสุพจน์ งามประเสริฐสิทธิ์
6. นายอำนาจ โล่ห์คุณสมบัติ
7. นายจำนง ภักดีไทย
8. นายจือเฮี้ยง แซ่เล้า
9. นายกำจง แซ่ตั้ง
10. นายตงเลี๊ยก แซ่ตั้ง
11. นายงักเค็ง แซ่โค้ว
12. นายฉอยัง แซ่เฮ้ง
13. นายเจริญ วัฒนา
14. นายฮะชุ้น แซ่เอี๊ย
15. นายกิมฮัก แซ่ซึง
จากบุคคลที่กล่าวชื่อมาข้างต้นนี้ได้คิดริเริ่มให้ดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิให้ถูกต้อง โดยการแต่งตั้งให้มีคณะบุคคลตามรายชื่อนี้ เป็นผู้ติดต่อกับทางราชการ คือ
1. นายสีชัง ชูไชยทิพย์
2. นายสุพจน์ งามประเสริฐสิทธิ์
3. นายจำนง ภักดีไทย
4. นายเจริญ วัฒนา
5. นายสมบัติ (ธานินทร์) อู่ทรัพย์
ทั้ง 5 คนที่กล่าวนั้นได้ดำเนินการติดต่อกับทางราชการจนเป็นที่เรียบร้อย และได้รับอนุญาตจากทางราชการให้จัดตั้งมูลนิธิขึ้นได้เมื่อวันที่ 19 เดือนมกราคม พ.ศ.2510 โดยมีชื่อในตอนนี้ว่า “มูลนิธิสุสานลำนารายณ์”ซึ่งมีที่ทำการชั่วคราวอยู่เลขที่ 0316 หมู่ 5 ตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ซึ่งที่ทำการนี้นายสีชัง ชูไชยทิพย์ ได้มอบให้เป็นที่ทำการโดยไม่คิดค่าเช่าและอื่นๆ ทั้งสิ้น (ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นหมู่ที่ 3 ตำบลลำนารายณ์ ในภายหลัง) เมื่อได้จัดตั้งมูลนิธินี้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วได้มีคณะกรรมการขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการบริหารมูลนิธิขึ้น เป็นสมัยที่1 คณะกรรมการครั้งนั้น มาจากการเลือกตั้งและปฏิบัติงานตามระเบียบตราสารทุกอย่าง การช่วยเหลือด้านต่างๆ มีมากขึ้นและขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวาง (คณะกรรมการ 1 สมัยอยู่ในวาระ 2 ปี)
ต่อมา พ.ศ.2518 คณะกรรมการมีความคิดเห็นว่า การช่วยเหลือของมูลนิธิได้ขยายออกไปมากแล้วน่าจะมีการจัดตั้งที่ทำการของมูลนิธิสุสานขึ้นมาอย่างถาวรและให้ทันสมัย คณะกรรมการบริหารจึงได้มีการประชุมกันขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งที่ทำการมูลนิธิใหม่ ครั้งแรกได้มีการเสนอให้จัดตั้งภายในบริเวณของศาลเจ้าลำนารายณ์ ซึ่งอยู่ในตลาดลำนารายณ์นั่นเอง เมื่อคณะกรรมการได้สำรวจและพิจารณาดูแล้วว่า บริเวณที่จัดตั้งในเขตศาลเจ้านั้นยังมีอุปสรรคบางประการ เช่น การคมนาคม การดำเนินการช่วยเหลือ ฯลฯ จึงได้คิดหาที่ทำการต่อสร้างใหม่ขึ้นจนมาถึงการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสมัยที่ 7 (พ.ศ. 2523) ได้ดำริว่า ที่ดินแปลงหนึ่งของมูลนิธิตรงบริเวณริมถนนสุรนารายณ์ หมู่ที่ 5 ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ยังเป็นที่ดินว่างเปล่าอยู่ น่าจะนำมาทำให้เกิดประโยชน์ จึงได้ประชุมหารือกันปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยที่จะใช้ที่ดินตรงบริเวณนี้ (ที่ทำการใหม่) เป็นที่ตั้งอาคารที่ทำการมูลนิธิฯ เนื่องจากมีความเหมาะสมในทุกๆ ด้าน คณะกรรมการจึงได้ถือเอาวันครบรอบของการดำรงตำแหน่งคณะกรรมการสมัยที่ 7 ประกาศให้พี่น้องชาวตลาดได้ทราบถึงการที่จะดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการนี้ เริ่มขึ้นจากการขอความร่วมมือจากชาวตลาดในการบริจาคทรัพย์หรือสิ่งของ เพื่อใช้ในการก่อสร้างปรากฎว่าได้รับการสนับสนุนด้วยดี ทั้งทางด้านการบริจาค เช่น นายสีชัง ชูไชยทิพย์ บริจาคเงินเริ่มดำเนินการฯ จำนวน 500,000 บาท (ห้าแสนบาท) หลังจากนั้นก็มีผู้ร่วมบริจาคให้อีก เช่น
1. นายเจ็งปัง แซ่ลิ้ม (กำชัยธรรมานุธรรม) บริจาค 200,000 บาท
2. นายมานะ สุทธานุสนธ์ บริจาค 200,000 บาท
3. นายสุพจน์ งามประเสริฐสิทธิ์ บริจาค 200,000 บาท
4. นายจือเฮี้ยง แซ่เล้า บริจาค 200,000 บาท
5. นายฮั้ว แซ่โง้ว บริจาค 150,000 บาท
6. นายยืนยง อุดมกิจวัฒนา บริจาค 150,000 บาท
7. นางสายพาน โล่ห์คุณสมบัติ บริจาค 150,000 บาท
8. นายพิภพ จินดากวี บริจาค 150,000 บาท
จากผู้มีรายชื่อที่กล่าวมาแล้วนั้นยังมีผู้ร่วมสนับสนุนการดำเนินการก่อสร้างครั้งนี้เป็นจำนวนมากหลายท่าน เมื่อเห็นว่าสามารถดำเนินการได้แล้ว คณะกรรมการจึงได้จัดให้มีพิธีทางศาสนาขึ้นใน เดือนตุลาคม พ.ศ.2523ต่อจากนั้นให้ดำเนินการก่อสร้างตามวัตถุประสงค์ และในการก่อสร้างนั้น คณะกรรมการบริหารมูลนิธิได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง มีหน้าที่ในการดำเนินการก่อสร้างซึ่งประกอบไปด้วย
คณะกรรมการที่กล่าวมาแล้วนั้น ได้ช่วยกันดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะการก่อสร้างได้ใช้วิธีการจ้างเหมาแรงงานเท่านั้น จึงทำให้อาคารที่ทำการแห่งใหม่นี้ มีความมั่นคงแข็งแรงทันสมัย เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของพี่น้องชาวตลาดอย่างดี
ในขณะที่ดำเนินการก่อสร้างอยู่นั้น ก็มีผู้บริจาคสนับสนุนเข้ามามากทั้งเป็นทรัพย์สิน เงินทองและอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ สมัยปัจจุบันเห็นว่า อาคารที่ทำการแห่งใหม่นี้เป็นสถานที่อันทันสมัย สมควรเปลี่ยนชื่อใหม่ เพราะได้ให้การช่วยเหลือด้านการศึกษาอีกแขนงหนึ่ง การฟังชื่อเดิมไม่ไพเราะเหมาะสม จึงได้มีมติเพื่อขอตัดคำว่าสุสานออกและในที่สุดก็ได้รับอนุญาต ให้ใช้ชื่อใหม่ว่า “มูลนิธิลำนารายณ์”ตามใบอนุญาตเลขที่ 441 ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2525 ประกอบกับได้ขออนุญาตเพิ่มตราสารเกี่ยวกับด้านส่งเสริมการศึกษาขึ้นอีก เนื่องจากว่ามูลนิธิได้ดำเนินการด้านการศึกษา ควบคู่มาด้วย จึงเห็นได้ว่ามูลนิธิลำนารายณ์แห่งนี้เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ทำการช่วยเหลือสังคมอย่างกว้างขวางในทุกๆ ด้าน ในโอกาสเดียวกันประกอบกับเป็นปีแห่งการฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี คณะกรรมการจึงเร่งรีบดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จเพื่อเป็นอนุสรณ์ครั้งนี้ด้วย
บัดนี้ อาคารที่ทำการมูลนิธิลำนารายณ์ ได้ดำเนินการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว สิ้นงบประมาณในครั้งนี้ประมาณ 6 ล้านบาทเศษ (หกล้านบาทเศษ) และได้จัดให้มีพีเปิดที่ทำการแห่งใหม่นี้เพื่อเป็นศิริมงคล จึงได้อัญเชิญพระพุทธชินราช (จำลอง) และรูปปั้นหลวงปู่ไต้ฮง มาประดิษฐานไว้ ณ ที่ทำการแห่งนี้ด้วย และได้จัดพิธีเปิดเป็นทางการ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2525 โดยในวิธาน สุวรรณทัต ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานพิธีเปิดอาคาร นายอุเทน เตชะไพบูลย์ ประธานมูลนิธิปอเต็กเสี่ยงตึ้ง เป็นประธานเปิดสำนักงาน พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติหลายท่านจากทุกฝ่าย มาร่วมในพิธีเปิดครั้งนี้โดยพร้อมเพรียงกัน