กลองเพล(กลอง-เพน) คำว่าเพล เป็นคำย่อมาจากคำว่า เพลา ซึ่งแปลงมาจากคำว่า เวลา อีกทอดหนึ่ง กลองเพลเป็นกลองชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่ากลองทัด แต่มีขนาดใหญ่หน้ากลองขึงหนังสองหน้าขนาดใหญ่ใช้ไม้ตีให้เกิดเสียง หุ่นกลองมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกป่องตรงกลาง ทำจากไม้เนื้อแข็งเจาะคว้านทะลุเป็นกล่องเสียง ขึงหน้ากลองทั้งสองหน้าด้วยหนัง โค กระบือ แล้วยึดติดกับหุ่นกลองด้วยหมุดที่ทำจากโลหะ งาช้าง กระดูกสัตว์ ซึ่งมีชื่อเรียกส่วนนี้ว่า “แส้กลอง” แล้วทายางรักบริเวณตรงกลางเพื่อรักษาหน้ากลอง
ด้านหนึ่งของกลองทัด มีหูโลหะเล็กๆ เรียกว่า “หูระวิง” สำหรับยึดกับขาหยั่งในการตั้งกลองกับพื้นในเวลาบรรเลงในวงปี่พาทย์ ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้กลองทัด 2 ใบซึ่งเป็นแบบแผนที่ยึดปฏิบัติมาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกชื่อแบ่งออกตามลักษณะเสียงที่แตกต่าง ได้แก่ กลองทัดตัวผู้ (เสียงสูง) กลองทัดตัวเมีย (เสียงต่ำ)
กลองทัดนั้นมีบทบาทหน้าที่สำคัญบรรเลงคู่กับตะโพนในวงปี่พาทย์มาแต่โบราณ ประกอบการแสดง โขน ละคร หนังใหญ่ เป็นอาทิ ทั้งยังมีพัฒนาการเพิ่มเติมจำนวนจาก หนึ่งใบไปจนกระทั่งครบ 3 ใบ เพื่อความเหมาะสมในโอกาสต่างๆ
นอกจากนี้ยังนำไปเป็นกลองสัญญาณ เช่น ตี ณ หอกลองของวัด เรียกว่า กลองเพล หรือตีบอกเวลาจากหอกลองปะจำพระนคร เรียกว่า กลองย่ำพระสุริสีห์ เป็นต้นกลองเพลหมายถึง กลองตีบอกเวลา เป็นกลองพิเศษขนาดใหญ่ ใช้ตีบอกเวลาฉันเพลของพระภิกษุสามเณร คือตีในเวลา ๑๑ นาฬิกาหรือเวลา ๕ โมงเช้าซึ่งเป็นเวลาฉันเพลของทุกวันสมัยโบราณเสียงกลองเพลในวัดซึ่งดังไปถึงหมู่บ้านและในทุ่งในสวนด้วยเป็นการบอกเวลาให้ชาวบ้านรู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าไร เพราะสมัยก่อนยังไม่มีนาฬิกาดู ต้องอาศัยเสียกลองเพลเป็นเครื่องบอกเวลากลองเพลในบางวัดใช้ตีคู่กับระฆังหลังจากพระสงฆ์ในวัดทำวัตรเย็นจบแล้ว ในกรณีเช่นนี้เรียกว่า ย่ำค่ำ