เดิมเป็นชุมชนบ้านอัยเยอร์เค็ม ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บ้านวังใหม่ การเกิดชุมชนบ้านอัยเยอร์เค็มเป็นชุมชนที่แยกมาจาก หมู่ ๑ บ้านอัยเยอร์เวงในสมัยนั้น ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่เป็นหมู่บ้าน ยังเป็นป่าไม้ที่ไม่มีใครเข้ามาอยู่ มีแต่คนที่เข้ามาล่าสัตว์ ต่อมาได้มีการทำป่าสัมปทานขึ้น ก็มีการทำไม้เกิดขึ้น แรกเริ่มคนที่เข้ามาก็จะเข้ามารับจ้างทำไม้ ตัดไม้ แล้วก็ทำกระต๊อบอยู่ติดๆกันเท่านั้น เมื่อมีการทำไม้ขยายกว้างออกไป ก็กลายเป็นพื้นที่ว่าง หลังจากนั้นคนที่มารับจ้างทำไม้ก็จับจองที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ในสมัยนั้นผู้คนที่เข้ามาอยู่ก็มีไม่กี่คน ประมาณ ๑๐-๑๑ คน มีตาใบ ตามาก ตาจวน ตาจัน ยายเอียด ตาลา ตาล้อม ตาสุวรรณ ตาแสงสุดี ตาแม่น และตาลึก ซึ่งเป็นคนอีสานทั้งหมดที่เข้ามารับจ้างทำไม้ และถือว่าเป็นผู้ที่บุกเบิกหมู่บ้านวังใหม่นี้ ตอนนั้นหมู่บ้านนี้เรียกว่าบ้านอัยเยอร์เค็ม คนเหล่านี้ก็จับจองที่ดินทำกิน ถางป่าทำสวนยางพารา ปลูกข้าวควบคู่กันไป พอมีการจับจองสวนคนก็ย้ายออกเพื่อมารับจ้างทำไม้ บ้างก็ย้ายออกมาอยู่ตามสวน สร้างขนำอยู่กันตามสวนของตัวเอง แล้วคนที่อยู่ในหมู่ ๑ ก็อยากมีที่ดินทำกินของตนเองเลยพากันย้ายเข้ามา แล้วก็ขอซื้อที่จากคนที่มาอยู่ก่อน ที่จองที่ดินกันคนละหลายร้อยไร่ ตอนนั้นก็ขายกันไร่ละ ๒๕ บาท ส่วนมากคนที่มาจองก็เป็นคนที่มีอิทธิพลอยู่ก่อน หรือเรียกง่าย ๆก็เป็นคนที่อยู่ที่นี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ บางคนก็ขายหมด บางคนก็ขายบางส่วน บางคนก็ไม่ขายเลย ก็เลยเป็นมรดกตกทอดกันมาจนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น คนที่มีส่วนอยู่ที่นี้ส่วนมากจะเป็นมรดกมาจากรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ไม่ก็มาซื้อต่อจากคนในพื้นที่ เส้นทางเข้าสู่ชุมชน แต่เดิมเดินเข้ามาตามทางเดินของสัตว์ป่า บางช่วงก็แหวกหญ้าเอาบ้าง ส่วนมากเป็นทางเดินของช้าง เขาเรียกเดินตามช้างเดิน ต่อมาก็ช่วยกันขุดเป็นทางกว้างประมาณ ๔ เมตร กว้างพอที่รถวินจะวิ่งได้ ต่อมาก็มีรถแม็คโค รถแท็กเตอร์เข้ามาบุกเบิกทาง การคมนาคมในตอนนั้นใช้เดินอย่างเดียวต้องออกมาขึ้นรถที่ปากทาง กม. ๒๗ เดินไกลกว่าจะถึง ใช้เวลาเป็นครึ่งวัน หรือประมาณ ๕ ชั่วโมงกว่าจะถึง แล้วนั่งรถสองแถวเป็นรถไม้ อีก ๘-๙ ชั่วโมงกว่าจะถึงเบตง ตอนกลับก็ต้องแบกของแบกข้าวสารกลับเข้ามาในหมู่บ้าน หลังจากนั้นพอทางเข้าถึงหมู่บ้านก็มีรถโดยสารเป็นรถหกล้อไม้ ที่วิ่งเข้าหมู่บ้านเป็นของคนในหมู่บ้านที่ซื้อมาเป็นรถโดยสารคันแรกของหมู่บ้าน ก็วิ่งสุดทางแค่กลางหมู่บ้านส่วนคนที่อยู่ปลายทาง หรือรอบนอก ก็ต้องเดินแบกของแบกข้าวสารกลับบ้านของตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด ต่อมาโจรจีนเริ่มเปิดเผยตัว ทางการก็เลยเริ่มปราบปราม และหมู่บ้านนี้ก็เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีการปราบปราม ในตอนนั้นทางแม่ทัพภาค ๔ ได้ออกคำสั่งให้ย้ายคนที่อยู่ตามสวนมาอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านอัยเยอร์เค็มเพราะจะมีการทิ้งระเบิด เพื่อปราบปรามโจรจีน และได้ให้เงินมาจำนวนหนึ่งหวังจะซื้อที่ให้ชาวบ้านได้มาอยู่รวมกัน แต่ผู้ใหญ่เจิมซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในสมัยนั้นบอกกว่าไม่ต้องซื้อเพราะบริเวณวัดเป็นที่ว่างให้ชาวบ้านอยู่ได้ ชาวบ้านเลยอพยพเข้ามารวมตัวกันที่ที่พักสงฆ์บ้านอัยเยอร์เค็มแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันคือวัดวังใหม่ การปรามปรามโจรจีนของทางการกินเวลาหลายปี ชาวบ้านที่อยู่บริเวณที่พักสงฆ์ตอนนั้นบางคนก็ขายที่ให้คนอื่น จากคนหนึ่งขายให้อีกคนหนึ่งเป็นทอด ๆ แล้วไม่กี่ปีกว่าที่ทางการจะปรามโจรจีนหมด ชาวบ้านก็ขายบ้านให้กันเป็นหลายทอด พอหลายปีเข้าการที่จะบอกให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในตอนนั้นย้ายออก จากบริเวณวัดก็เห็นจะทำไม่ได้แล้ว เพราะคนที่อยู่ส่วนมากก็ซื้อที่มาจากคนที่เคยอยู่เดิม บางคนก็เป็นคนเดิมไม่ได้ขายแต่ก็อยู่มานานพอสมควร จนรู้สึกว่าเป็นบ้านตัวเองเป็นที่ของตัวเองไปแล้ว เลยย้ายชาวบ้านเหล่านี้ออกจากบริเวณที่พักสงฆ์ไม่ได้ จนบริเวณนี้กลายเป็นชุมชน และเมื่อมีการเกิดเป็นชุมชนขึ้น ปลัดน้อม ได้เรียกชาวบ้านมาประชุมกันที่สำนักสงฆ์บ้านอัยเยอร์เค็มเพื่อตั้งชื่อหมู่บ้านขึ้นใหม่ โดยให้ชาวบ้านโหวดเลือกชื่อที่ทางปลัดได้เตรียมมา และชาวบ้านก็ได้เลือกชื่อบ้านวังใหม่และหมู่บ้านแห่งนี้ก็ได้เปลี่ยนจากบ้านอัยเยอร์เค็มเป็นบ้านวังใหม่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา |