ผ้ามุกนครพนม
นับจากยุคที่มีการย้ายถิ่นฐานของผู้คนในสมัยอาณาจักศรีโคตรบูร ที่อพยพมาจากดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ข้ามมายังฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ชาวลาวส่วนหนึ่งที่มีทั้งชนเผ่าลาว ผู้ไทย กะเลิง ไทกวน ไทญ้อ ได้อพยพมาฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นระยะๆ มีชาวลาวส่วนหนึ่งอพยพมาจากเกาะดอนโดน ฝั่งประเทศลาวหรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน ได้นำหัตถกรรมพื้นถิ่น “การทอผ้ามุก (ลายยกมุก)” มาสืบสานถักทออยู่ที่ หมู่บ้านกกต้อง หมู่ที่ 8 ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นางสุดใจ อินธิโส ครูภูมิปัญญาการทอผ้ามุกนครพนม เล่าว่า “ผู้ที่นำศิลปะการทอผ้ามุก มาเผยแพร่และขยายผลที่จังหวัดนครพนมเป็นคนแรก คือ นางทองคำ กีกาศ ซึ่งได้เรียนรู้ เรื่องภูมิปัญญาการทอผ้ามุกมาจากบรรพบุรุษที่เคยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านดอนโดน เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ท่านเจ้าคุณพระราชสิริวัฒน์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม อำเภอเมืองนครพนม เล่าว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสว่างสุวรรณาราม เห็นนางเทียบ และนางเตาะ ภรรยาข้าราชการในหมู่บ้านกกต้อง สวมเสื้อผ้ามีลวดลายงดงามแปลกตา เข้าไปทำบุญที่วัดจึงเกิดความสนใจในลวดลายอันเป็นแบบพื้นบ้าน จึงถามที่มาของแหล่งผ้าและผู้ทอ จนได้ทราบว่า ผู้ทอผ้าคือ นางสุดใจ อินธิโส ชาวบ้านกกต้องนั่นเอง ท่านพระครูศรีวชิรากร (ปัจจุบันคือ พระราชสิริวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม)
ได้เชิญนางสุดใจ อินธิโส ให้ไปเป็นครูภูมิปัญญา ศิลปะการทอผ้ามุก ในปี พ.ศ. 2541 นายนาวิน ขันธหิรัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้ประกาศให้ผ้ามุก เป็นผ้าประจำจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 เรียกชื่อว่า “ผ้ามุกนครพนม”
ความหมายของลายผ้า ผ้ามุก นับว่าเป็นผ้าชั้นสูง ผู้ที่จะมีโอกาสได้สวมใส่ต้องเป็นภริยาของเจ้านายชั้นปกครองบ้านเมือง หรือเป็นข้าราชการ พบเห็นข้าราชการครูของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวก็ทำเป็นชุดราชการผ้ามุก และนอกจากนั้นบุคคลสำคัญของประเทศภูฎาน ก็ใช้ผ้ามุกเป็นอาภรณ์สวมใส่ประดับกาย เป็นต้น ถือว่าผ้ามุกเป็นผ้าชั้นสูง ก็เพราะจากความเชื่อที่เห็นเครื่องใช้ ลายมุกล้วนแต่เป็นเครื่องใช้ชั้นสูง มีความสำคัญในตัวเอง เช่น โต๊ะหมู่บูชาฝังมุก พานแว่นฟ้าฝังมุก พัดยศที่มีด้ามฝังลายมุก ฝักดาบเจ้าเมืองที่มีการฝังมุก เป็นต้น
แนวคิดการคัดเลือกความเป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นของผ้ามุกนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับความงามของผู้คนทางอีสาน เขาว่า “งามลึก” คืองามไปถึงภายในไม่ใช่งามผิวเผินแต่เพียงภายนอกที่พบเห็น ผ้ามุก ที่ดีจะมีความละเอียด บรรจงในลวดลายที่ทอได้นั้น ผู้ทอจะต้องเป็นผู้มีสมาธิ มีสติ พร้อมที่จะทอ หากช่างทอคนใดไม่มีสมาธิ หรือจิตใจไม่ปกติจะไม่สามารถถักทอผ้ามุกให้ได้ลายสม่ำเสมอได้ ความละเอียดอ่อนวิจิตรบรรจงของลายผ้าจะขาดหายไป จึงอาจเรียกได้ว่าผ้ามุก “เป็นผ้าลายที่มีชีวิต”