กลองมโหระทึกหรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า "ฆ้องกบ" มีลวดลายด้านบนเป็นรูปกบซึ่งมีทั้งหมด 4 ตัว หมายถึงฝนซึ่งหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งคนในประเทศไทยลาวเวียดนามกัมพูชาและตอนใต้ของจีนหรือเรียกว่า อุษาคเนย์ ต่างมีชีวิตทำนาปลูกข้าว การมีฝนฟ้าบริบูรณ์จึงหมายถึงความมั่นคงแห่งอาณาจักรนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าคนโบราณสร้างกลองมโหระทึกเพื่อใช้ในพิธีขอฝนหรือพิธีไสยศาสตร์ หรือแสดงฐานะอันมั่นคงสูงส่ง หรือใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย หรือใช้ในสงคราม ลวดลายอันสวยงามบนผิวกลอง ได้แก่ ลายรัศมีดาวหรืออาทิตย์ 12 แฉก ลายคนสวมเครื่องประดับศีรษะด้วยขนนก ลายนกกระสา ลายซี่หวี และกลีบดอกไม้ การหล่อภาชนะสำริดให้มีลวดลายสวยงามนั้นต้องผ่านการหล่อแล้วตกแต่งหลายครั้ง คือ ครั้งแรกหล่อเพื่อขึ้นรูปเป็นกลองหลังจากนั้นหล่อลายประดับอีกหลายครั้งทั้งด้านบนและด้านข้างช่างผู้หล่อสำริดจึงต้องชำนาญมาก
กลองมโหระทึกเป็นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นประวัติศาสตร์(ประมาณ ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ ปี มาแล้ว) กลองดังกล่าวผลิตขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมความเชื่อ พบแผ่กระจายทั่วไปในพื้นที่ประเทศจีนทางตอนใต้และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า ไทย เวียตนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ในอดีตเชื่อกันว่าประเทศจีนและเวียตนาม น่าจะเป็นต้นกำเนิดในการผลิดกลองมโหระทึกขึ้นเป็นเทศแรก ๆ และแพร่วัฒนธรรมดังกล่าวไปสู่เพื่อนบ้าน ซึ่งได้พบแหล่งโบราณคดีที่มีวัฒนธรรมใช้กลองมโหระทึกกว่า ๕๐ แหล่งทางตอนเหนือของเวียตนาม ในเขตจังหวัดดองซอนไปจนถึงบริเวณตอนใต้ของจีน กำหนดอายุ อยู่ในช่วงระหว่าง ๙๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล – คริสต์ศตวรรษที่ ๒ (ประมาณ ๔๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล – พุทธศตวรรษที่ ๗)
ในประเทศไทยมีการรพลกลองมโหระทึกกระจายอยู่ทั่วทุกภาค เช่น ภาคเหนือ ที่บ้านบ่อหลวง จังหวัดน่าน ภาคตะวันออกที่บ้านนายเสมอ อิ่มทะสาร จังหวัดตราด ภาคตะวันตก ที่แหล่งโบราณคดีคูบัว จังหวัดราชบุรี ภาคใต้อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบกลองมโหระทึกขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ที่วัดมิชฌิมาวาส ตำบลดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาการ ส่วนที่จังหวัดอุบลราชธานี พบที่บ้านชีทวน ตำบลเขื่องใน ลักษณะของกลองชนิดนี้ผลิตขึ้นโดยกรรมวิธีหล่อจากโลหะผสมระหว่างทองแดง ดีบุก และตะกั่ว หรือที่เรียกว่า สำริด มีชื่อเรียกแตกต่างก้นไปตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น เช่น ทางภาคเหนือของประเทศไทยและประเทศพม่า เรียกว่า ฆ้องกบ หรือ ฆ้องเขียด เนื่องจากบริเวณขอบหน้ากลองมีการหล่อประติมากรรมลอยตัวรูปกบหรือเขียดขนาดเล็ก ชาวจีนเรียกกลองมโหระทึกว่า ตุงกู่(Tung Ku)
กลองมโหระทึกที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลิตขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลักร่วมกัน คือ ใช้เป็นเครื่องหมายแสดงความมั่งคั่ง ใช้เป็นวัตถุสำคัญในการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ใช้ตีเป็นสัญญาณในการสงคราม ใช้ตีประกอบพิธีกรรมขอฝน และใช้ตีเพื่อบำบัดโรคทางไสยศาสตร์ เป็นที่น่าสังเกตคือ เมื่อพิจารณาจากรูปสัตว์ที่ประดับอยู่บนส่วนหน้ากลองนิยมประดับ กบ หอยทาก ช้าง และจักจั่น พบว่าล้วนเกี่ยวข้องกับฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปกบ ที่ปรากฏมากบนหน้ากลองมโหระทึก
กรรมวิธีหล่อกลองมโหระทึก อาจจำแนกได้ ๒ วิธี
(๑) การหล่อด้วยวิธีการคล้ายการหล่อระฆังด้วยพิมพ์ชิ้น จากนั้นจึงนำชิ้นส่วนของกลองแต่ละส่วนมาเชื่อมต่อกันและตกแต่งรูปทรงจนสมบูรณ์
(๒) ใช้กรรมวิธีหล่อด้วยการแทนที่โลหะด้วยขี้ผึ้ง(Lost Wax or Cire Perdue) ทำให้ลักษณะรูปทรงและลวดลายบนกลองมโหระทึกรุ่นหลัง มีความประณีต
การกำหนดอายุ
ลักษณะรูปทรงของกลองมโหระทึก จากเอกสารจะอ้างอิงทฤษฎีการจำแนกรูปกลองของ FRANZ HEGER นักโบราณคดีชาวออสเตรีย เป็นหลัก ดังนี้
ลักษณะแบบที่ ๑ (Heger I) (อายุประมาณ ๗๐๐ – ๑๐๐ ปีก่อนครีสต์ศักราช หรือประมาณ ๒๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล – พุทธศตวรรษที่ ๕) ซึ่งมีอายุเก่าสุด ลักษณะรูปทรงกลองแบ่งเป็น ๓ ส่วน อย่างชัดเจน คือ ส่วนหน้ากลองเป็นรูปลายรำมะนา กลางหน้ากลองตกแต่งลาวดาว ๙ – ๑๖ แฉก และลวดลายเรขาคณิต อาทิ ลานแถววงกลม เชื่อมด้วยเส้นทแยง ลายคั่นระหว่างแฉกของลายดาว และลายนกบินทวนเข็มนาฬิกา อาจมีการหล่อประติมากรรมลอยตัวรูปกบ หรือ สัตว์อื่น ๆ ตกแต่งบนส่วนหน้ากลอง