ประวัติความเป็นมา
มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒได้ซื้อมาจาก นางนิษฐ์นิษา แสงจารุรัชต์ในราคา 3,700 บาทในปี พ.ศ.2552 และนำมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาไทย ให้ นักเรียน นิสิต นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ ได้เรียนรู้และตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาไทย ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฏาคม พ.ศ.2555
ความสำคัญ (ความสำคัญต่อวัฒนธรรมด้านใด)
แท่งหินบดยา มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมในด้านเครื่องมือเครื่องใช้ของแพทย์แผนไทย จากการสำรวจพบว่า หินบดยาเข้ามามีบทบาทต่อสังคมมนุษย์ตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ลงมา สำหรับในประเทศไทยมีการพบแง่หินบดยาเป็นจำนวนมากในแหล่งวัฒนธรรมสมัยทวารวดี และยังคงมีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง แต่หน้าที่การใช้สอยไม่ได้จำเพาะแก่การบดยาเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการบดเมล็ดพืช หรือสิ่งอื่น เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามต้องการด้วย ในประเทศอินเดียผู้ที่จะบูชาพระพิฆเนศจะต้องเอางามาบดกับหินบด แล้วจึงเอางาที่ได้มาทาตัวก่อนที่จะอาบน้ำเพื่อประกอบพิธีกรรมการบูชาต่อไป ในเรื่องรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฑ์พุ่งหอกไปต้องพระลักษณ์ทศกัณฑ์กล่าวกับนางมณโฑว่า “ถึงแม้จะมียาแก้แต่ไม่มีหินบดยาที่ศักดิ์สิทธิ์ ยาที่มีอยู่ก็ไม่มีประโยชน์” แสดงให้เห็นว่าแพทย์แผนโบราณจะนับถือหินบดยาเป็นเสมือนครูบาอาจารย์ เช่น ในพิธีไหว้ครูจะต้องวางหินบดยาไว้ตรงหน้ารูปปั้นฤษี ผู้ที่ทำพิธีจะเจิมหินบดยาด้วย และเมื่อนำมาใช้บดยานั้น หมอที่บดยาจะต้องบริกรรมคาถากำกับขณะบดยาไปด้วย เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีการลงอาคมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงทำให้หินบดยากลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพบูชาของแพทย์แผนโบราณ
ลักษณะของสิ่งของ(เช่น รูปทรง ขนาด ตำหนิ ลวดลาย)............หินบดยาวัสดุทำจากโลหะ มี 2 ชิ้น โดยชิ้นแรกเป็นที่สำหรับใส่ยาหรือสิ่งที่ต้องการบดให้ละเอียด ส่วนอีกชิ้นเป็นเหล็กกลมแบนมีด้ามจับใช้สำหรับกลิ้งไปบนจานใส่ยาเพื่อบดให้ละเอียด...............
สถาปัตยกรรม(ยุคสมัย,วัสดุที่ใช้)..........จากหลักฐานพบว่าใช้ในสังคมมนุษย์ตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ลงมา สำหรับในประเทศไทยพบว่ามีการใช้แง่หินบดยาตั้งแต่สมัยวัฒนธรรมสมัยทวารวดีจนถึงสมัยรัตนสินธุ์ตอนต้น