มองเซิง เป็นการแสดงของชาวกุลาหรือไทยใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งซึ่งเข้ามาแต่งงานและตั้งรกรากในหมู่บ้านโนนใหญ่ ตำบลโนนใหญ่ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี สันนิษฐานว่าเดิมเป็นการละเล่นกันภายในกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อชาวกุลากลับจากการไปเร่ขายสินค้าเป็นเวลานาน เมื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอนจะมีการจัดให้มีการละเล่นสนุกสนาน โดยนำฆ้องซึ่งมีประจำอยู่ทุกครอบครัวเพราะมีความเชื่อว่าฆ้องเป็นสิ่งมงคลทำให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ออกมาตีประกอบจังหวะการร่ายรำอย่างสนุกสนาน
ต่อมาการละเล่นมองเซิงถูกนำมาใช้เป็นศิลปะการแสดงโดยปรากฎหลักฐานใน พ.ศ.2496 อำเภอเขื่องใน มีการฉลองปืนกล นายสังเวียน ทรรพสุทธิ์ นายอำเภอเขื่องใน ในขณะนั้น ได้นำเอามองเซิงไปแสดงให้ประชาชน ณ สนามที่ว่าการอำเภอเขื่องใน ปรากฎว่ามีประชาชนให้ความสนใจอย่างเนืองแน่น เพราะในเวลานั้นยังไม่เคยมีการแสดงมองเซิงต่อสาธารณชนมาก่อน
นอกจากนั้น ใน พ.ศ. 2520 อำเภอเขื่องใน ได้นำเอาการแสดงฟ้อนมองเซิง เป็นขบวนรำนำต้นเทียนพรรษาของอำเภอ ในงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี ปรากฎว่าได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนั้นเอง และในปต่อมา สุรสีห์ ผาธรรม ผู้กำกับภาพยนตร์ ได้นำเอาการแสดงมองเซิงถ่ายทำในส่วนหนึ่ของภาพยนตร์เรื่อง "ทุ่งกุลาร้องไห้" นับจากนั้นมาการแสดงฟ้อนมองเซิงจึงเป็นที่รู้จักของผู้คน และได้แสดงในโอกาสต่างๆ การฟ้อนมองเซิงในปัจจุบันมี 2 แบบ ได้แก่ แบบดั้งเดิม เป็นการแสดงของชายล้วนจำนวนตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป นุ่งโสร่ง มีผ้าโพกศีรษะ ท่ารำคล้ายท่ารำมวย ออกลีลางดงามมีท่าทางเลียนแบบไก่ชน มีการแสดงประลองฝีมือด้วยท่าทางและลีลาที่มีชั้นเชิง น่าชม โดยมีกระบวนท่ารำสามท่า ได้แก่ ข้างประสานงา หนุมานคลุกฝุ่น และจระเข้ฟาดหาง
ต่อมา มีการแสดงฟ้อนมองเซิงประยุกต์โดยใช้ผู้แสดงเป็นหญิง สวมเสื้อแขนกระบอกคอกลม ผ้าซิ่นสีดำ มีสไบคล้องคอ และประดิษฐ์ท่ารำใหม่ให้เข้ากับนาฏศิลป์ตามสมัยนิยม ทั้งนี้ การแสดงทั้ง 2 แบบ ใช้เครื่องดนตรีประกอบคือ ฆ้อง ซึ่งไล่ขนาดเล็กไปจนขนาดใหญ่จำนวน 9 ใบ กลองสองหน้าหรือตะโพน จำนวน 1 ใบ และฉาบ ซึ่งมีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ จำนวนอย่างละ 1 คู่
ปัจจุบัน การฟ้อนมองเซิงของกลุ่มเชื้อสายกุลาบ้านโนนใหญ่ได้รับการส่งเสริมให้มีการแสดงในโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อรองรับการท่องเที่ยวชุมชนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ การฟ้อนมอเซิงนับเป็นศิลปะการแสดงที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ควรได้รับการส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ สืบทอด ส่งต่อเพื่อให้เป็นวัฒนธรรมที่คงอยู่คู่กับชุมชนต่อไป