ประเพณีวันตรุษ ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๔ ถึงวันขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ รวม ๓ วันตรุษแปลว่า สุด หรือขาด หมายถึงสิ้นปีเก่า เป็นการแสดงความยินดีที่ได้มีชีวิตผ่านไป ใน ๑ ปี เรียกว่าส่งท้ายปีเก่า ขนมที่จัดทำขึ้นในวันตรุษที่จะขาดไม่ได้คือ ข้าวเหนียวแดง และ กาละแม มีการทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระตามประเพณี บางวัดก็จัดให้มีการสวดภาณยักษ์ ตามวัดที่มีชาวบ้าน เชื่อถือเรื่องผีสาง และเพื่อให้ละชั่วเกรงกลัวต่อบาป ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งดีงามประเพณีตรุษนี้คนในหมู่บ้าน ตามท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ประกอบพิธีทำบุญตักบาตรที่วัดและมีการละเล่นต่างๆ ตามความนิยมแต่ละยุคแต่ละสมัยในท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานีสมัยก่อนประมาณ ๔๐-๕๐ ปีที่ล่วงมาแล้ว พอถึงเทศกาลตรุษ หลังจากทำบุญตอนเช้าและตอนเพลที่วัดแล้ว พอตกเวลาตอนบ่ายเขาจะเอาไม้ไผ่ทั้งลำ เอาผ้าแดงผูกปลาย แล้วเอาไปปักไว้ที่ลานนอกบ้าน หรือกลางทุ่งนา เรียกว่าปักธงแดง เพื่อเป็นเครื่องหมายนัดพบของหนุ่มสาวให้มาพบกันในเวลา ๕ โมงเย็นเวียนกันไปตามตำบลต่าง ๆ เพื่อให้มาร่วมเล่นไม้หึ่ง ไม้ตี่ เล่นมอญซ่อนผ้า เล่นลูกช่วง เล่นสะบ้า และเล่นระบำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีการเล่นรำวงเป็นที่ครึกครื้นของหนุ่มสาว ทำให้เกิดความรักความสามัคคีกันเป็นอย่างดี เมื่อมีกิจการใด ๆ ก็จะร่วมมือช่วยเหลือกันด้วยน้ำใจ ที่เรียกว่า ลงแขก การละเล่นในยามตรุษยังมีเนื้อเพลงที่ชาวบ้านแต่งร้องรำกันสนุกสนานรื่นเริงตอนหนึ่งว่า .."ตอนเช้าทำบุญตักบาตรทำบุญร่วมญาติ ตักบาตรร่วมญาติกันเอย ตอนบ่ายเราเริงกีฬา เล่นมอญซ่อนผ้า เล่นสะบ้ากันเอย.........." |