เซิ้งบั้งไฟ เป็นประเพณีและพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จากคตินิยมและความเชื่อเรื่องตำนานพญาคันคาก (คางคก) ซึ่งเป็นทั้งวรรณกรรมมุขปาฐะและวรรณกรรมจารึก อีกเรื่องหนึ่งคือ ตำนาน “ท้าวผาแดง – นางไอ่คำ” ซึ่งปราชญ์ชาวอีสาน ได้แต่งวรรณกรรมจากสังคมและความเป็นอยู่ของชุมชนชาวขอม
การเซิ้งบั้งไฟ ถือว่าเป็นประเพณีที่ชุมชน ชาวอีสานสืบทอดกันมาพร้อมกับประเพณีการจุดบั้งไฟ คือก่อนที่จะทำบั้งไฟเพื่อจุดถวายพญาแถนบนสวรรค์ ชาวบ้านจะรวมตัวกันออกเซิ้ง(คือ การร้องหรือจ่ายกาพย์ประกอบการฟ้อน) ไปรอบๆหมู่บ้านหรือชุมชนใกล้เคียง เพื่อบอกบุญขอรับไทยทาน เพื่อซื้อ ขี้เกีย (ดินประสิว) มาทำเป็น หมื่อ (ดินปืน) เพื่อบรรจุทำเป็นบั้งไฟ และจุดในพิธีขอฝนต่อไป
เซิ้งบั้งไฟตำบลตาหลังใน เริ่มต้นขึ้นจากการจัดทำประเพณีบุญบั้งไฟของชาวบ้านตำบลตาหลังใน หมู่ 1 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากภาคอีสาน เมื่อประมาณปี 2520 โดยนายสาย กุลวงษ์ และนายพิม ได้ริเริ่มจัดงานบุญบั้งไฟขึ้น และชาวบ้านได้ร่วมกันรำเซิ้งประกอบขบวนแห่บั้งไฟ ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน หรือชุมชนใกล้เคียงตามประเพณี ชาวบ้านที่มีทักษะด้านการรำเซิ้ง ก็ได้ฝึกฝน ถ่ายทอด ให้กับเยาวชนในหมู่บ้านเพื่อรักษาวัฒนธรรมประเพณีไว้
ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2525 คณะกรรมการจัดงานสืบสานงานประเพณีบุญบั้งไฟตำบลตาหลังใน เห็นว่าควรจัดกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในตำบล ให้มีความสนุกสนาน แต่ยังคงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านไว้ การประกวดรำเซิ้งบั้งไฟของตำบลจึงเริ่มขึ้น ควบคู่มากับการสืบสานงานประเพณีบุญบั้งไฟของตำบลตาหลังใน มีการประกวดรำเซิ้งบั้งไฟทุกปีจนถึงปัจจุบัน โดยนางรำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสตรีแม่บ้าน เด็ก เยาวชน ของหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้าน ที่จะมาฝึกฝนเพื่อเข้าร่วมขบวนแห่และการประกวดรำเซิ้งบั้งไฟในเทศกาลนี้โดยเฉพาะ
ลักษณะของการแสดง
การแสดงเซิ้งบั้งไฟของแต่ละหมู่บ้าน จะมีผู้แสดงไม่ต่ำกว่า 12 คนขึ้นไปส่วนใหญ่เป็นหญิงล้วน แต่งกายด้วยผ้าซิ่น ผ้ามัดหมี่ เสื้อแขนกระบอก ห่มด้วยสไบ หลากสีสันรูปแบบทางภาคอีสานท่าเซิ้งมีหลากหลายท่าแล้วแต่ละหมู่บ้านจะฝึกฝนกันมา แต่ต้องมีความพร้อมเพรียงและสวยงาม และไม่ได้รับงานแสดงทั่วไป แต่รับเป็นการแสดงเฉพาะกิจเท่านั้น