การทำบายศรี
ประวัติความเป็นมา
กล่าวกันว่าพิธีบายศรีสู่ขวัญมาพร้อมกับพราหมณ์ทมิฬชานอินเดียที่อพยพมาสู่สุวรรณภูมิ หนังสือเก่าที่พบซึ่งออกในสมัยพระเจ้าอู่ทองกล่าวไว้ว่า บายเป็นภาษาเขมรแปลว่าข้าว ข้าวอันเป็นสิริมงคล ข้าวขวัญ กล่าวคือข้าวที่หุงปรุงรสโอชาอย่างดีเหมาะสมที่จะเป็นเครื่องสังเวยให้เทวดาโปรด พิธีใดเป็นพิธีเทวดาโดยตรง หรือต้องการที่จะอัญเชิญเทวดามาเป็นประธาน ต้องหาของสังเวยที่ดีและมีสีสะดุดตา ชาวทมิฬจึงมีเคล็ดลับความเชื่อในข้าวที่ย้อมสีตามสีประจำองค์เทวดา รวมถึงใช้สีล่อเทวดาฝ่ายร้ายให้ไปรวมต่างหากไม่ให้มาทำอัปมงคลให้โทษแก่มณฑลพิธีและบุคคล ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยกับทมิฬได้มีความเป็นมาอย่างเดียวกัน เนื่องจากได้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมต่าง ๆแก่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีบวงสรวงเทวดา มีขนมต้มขาว มะพร้าวอ่อน กล้วย ข้าวย้อมสี เช่นข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวแดง ก็นำมาใช้ในพิธีไทยอย่างชัดเจน นอกจากนี้ภาชนะบายศรีตองเป็นกระทงที่สำหรับบรรจุอาหาร ภายหลังเอาพานซ้อนกันขึ้นไปแล้วเอาของตั้งบนปากพาน เมื่อมีการถ่ายทอดมาที่ประเทศไทย ซึ่งมีศิลปศาสตร์ที่เจริญขึ้น กระทงใบตองก็ถูกประดิดประดอยให้สวยงามเป็นกระทงเจิม ซึ่งประดับประดาตกแต่งที่ปากกระทมีกระจัง มียอดแหลมตามศิลปะแบบไทย ๆ
พิธีบายศรีสู่ขวัญหรือหลายท้องถิ่นในภาคอีสานจะเรียกว่าสู่ขวัญหรือสูดขวัญ ตามความเชื่อของคนไทยเชื่อกันว่าคนที่เกิดมามีขวัญประจำกายมีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษา ขวัญเป็นเหมือนพี่เลี้ยงที่คอยดูแลประคับประคองชีวิต คอยเลี้ยงดู และติดตามไปทุกหนทุกแห่ง เป็นสิ่งไม่มีตัวตนคล้ายจิตหรือวิญญาณแฝงอยู่ในตัวคนและสัตว์ ซึ่งขวัญตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าในร่างกายเรามี 2 สิ่งรวมกันคือร่างกายและจิตใจหรือขวัญ
ขวัญ คือความรู้สึก ถ้าขวัญของผู้ใดอยู่กับตัว ผู้นั้นจะมีความสุขกายสบายใจเป็นปกติ แต่ถ้าขวัญของผู้ใดหลบลี้หนีหาย ผู้นั้นจะมีลักษณะอาการตรงกันข้าม
ส่วนประกอบ
๑. ใบตองสด
๒. พาน โตด ไม้หลัก
๓. โฟม
๔. ตะปู ไม้กลัด เสียบลูกชิ้น
๕. เข็ม ด้าย น้ำมันจันทร์
๖. ดอกไม้ต่าง ๆ
ขั้นตอนการผลิต
การทำปายศรีปากชาม เป็นงานบายศรีที่เคียงคู่กับคนไทยมาเนิ่นนาน และในปัจจุบันก็ยังมีการทำบายศรีกันอยู่บ้าง เพื่อใช้ในการไหว้ครู ใช้ในงานบวงสรวง สังเวย บูชาเทวาอารักษ์ ใช้ในพิธีไหว้ครู ของศิลปิน เป็นช่าง ทุกสาขา พิธีการรับขวัญ พิธีฉลองต่างๆ พิธีไหว้ครูดนตรี โขน ละคร ขับร้อง ฟ้อนรำ ในการทำพิธีบูชาครูประจำปี หรือ การบูชา ก่อนจะมีการแสดงครั้งสำคัญนั้น ต้องมีการตั้งเครื่อง สังเวย บายศรี อัญเชิญบรรดาครูทั้งหลายมาอวยชัยให้พร เริ่มจากปฐมบรมครูคือ สมเด็จพระบรมศาสดา มารดาบิดา คู่สวดอุปัชฌาย์ ครูอาจารย์ที่ให้สรรพวิชาหาเลี้ยงจนทุกวันนี้ ท้าวมหาพรหม บรมมหา เทวราช ผู้สร้างมนุษย์โลก พระอิศวรจอม เทวาวรฤทธิ์ ผู้ตรองสกลพิภพ พระนารายฯ พระอินทร์ พระขันธกุมาร พระพิฆเกณศร์ พระปรปคนธัพ พระปัญจะสังขร พ่อแก่ พระพิราพ พระวิศวะกรรม ฯลฯ โดยปรกติต้อง มีบายศรีปากชาม 7-9 ชั้น 3 คู่ วางเป็นคู่ ๆ ที่ตั้งเครื่องสังเวย 3 สำรับจะลดจำนวน หรือจัดทำบายศรีใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับ โรงพิธี ดอกไม้ที่ใช้ประดับตกแต่ง บายศรีปากชาม ตกแต่งด้วย ดอกไม้ที่มีสีสันงดงามและมีความเชื่อว่าเป็นสิริมงคล เช่น ดอกบัว ดอกดาวเรือง ดอกบานไม่รู้โรยลักษณะที่โดดเด่นของแหล่งข้อมูล
บายศรีปากชาม จัดเป็นแม่แบบของบายศรีแบบอื่นๆ องค์บายศรีใช้ใบตองตานีเย็บพับจับจีบ กลางองค์บายศรี ทำเป็นกรวย ภายในกรวยใส่ข้าวตอกดอกไม้ ยอดกรวยประดับด้วยไข่ต้ม รอบ องค์ บายศรี ประดับดอกไม้มงคล บายศรีจัดตั้งอยู่บนปากชาม ถ้าประดับตกแต่งมาก จนวิจิตรอาจเรียกว่า เป็นบายศรีปากชามทรงเครื่องบายศรีปากชาม เป็นบายศรี ขนาดเล็ก ใช้ชามขนาดย่อมๆ ใบงามๆ เช่น ชามเบญจรงค์ ถ้าหาชามที่สวยไม่ได้ก็ใช้ต้นกล้วยตัดเป็นท่อนแทน ชาม เมื่อเสร็จพิธีก็นำไปจำเริญ หรือทิ้ง ไปเลย ปัจจุบันนิยมจัดใส่พานเงินพานทองบายศรีปากชามนี้มีตั้งแต่ 3 ชั้น 5 ชั้น 7 ชั้น และ 9 ชั้น (จำนวนเกร็ด ,นิ้ว,กาบ) ตามแต่ขนาดของภาชนะและขนาดของพิธีตามฐานะของครอบครัว หรือขนาดของโรงพิธี ซึ่งเป็นงานของหมู่คณะ เช่น พิธีบวงสรวง สังเวย บูชาครู เทพยดา อารักษ์ทั่ว ๆ ไป
บายศรีปากชาม
คนไทยจึงเชื่อว่าพิธีสู่ขวัญเป็นพิธีหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมเพิ่มพลังใจให้เข้มแข็ง เมื่อมีขวัญที่มั่นคง พลังใจที่เข้มแข็งดีแล้ว ย่อมส่งผลให้การประกอบภารกิจหน้าที่นั้น ๆ บรรลุผลสำเร็จได้ตามความมุ่งหมาย ซึ่งให้กำลังใจกันเมื่อมีความทุกข์ใจ หรือเสริมให้มีความสุขยิ่ง ๆขึ้นไปเมื่อมีความสุขความพอใจอยู่แล้วก็สามารถทำได้ การทำพิธีสู่ขวัญอาจทำได้ทั้งพิธีทางพระพุทธศาสนาและพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา