ประวัติความเป็นมาของชื่อ ตำบล “สูงเม่น”
“สูงเม่น” เดิมมีชื่อว่า “สุ่งเม่น” เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของบ้านสูงเม่นปัจจุบันนี้เคยมีป่าไม้ที่หนาทึบ
มีต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์และมีลำห้วยแม่มานไหลผ่านเหมาะแก่หมู่สัตว์ป่าทั้งหลายมาอยู่อาศัยในป่าแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีฝูงเม่นมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านสุ่งเม่น” ตลอดมาและในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ เปลี่ยนชื่อบ้าน “สุ่งเม่น” เป็นบ้าน “สูงเม่น” อย่างเป็นทางการและเป็นตำบลหนึ่งของตำบลสูงเม่นในเวลาต่อมา
ตำบลสูงเม่นมีหมู่บ้านในเขตปกครอง จำนวน ๑๐ หมู่บ้านคือ
หมู่ที่ ๑ หมู่บ้านท่าล้อ มี ๒ ชุมชน คือ
- ชุมชนท่าล้อมร่วมใจ
- ชุมชนร่วมใจพัฒนา
หมู่ที่ ๒ หมู่บ้านเม่นทองพัฒนา
หมู่ที่ ๓ หมู่บ้านประชารักษ์ถิ่น
หมู่ที่ ๔ หมู่บ้านท่ามด
หมู่ที่ ๕ หมู่บ้านโตนใต้
หมู่ที่ ๖ หมู่บ้านโตน
หมู่ที่ ๗ หมู่บ้านล้อพัฒนา
หมู่ที่ ๘ หมู่บ้านท่าม้าพัฒนา
หมู่ที่ ๙ หมู่บ้านโตนใต้
หมู่ที่ ๑๐ หมู่บ้านโตนเหนือ
หมู่ที่ ๑ หมู่บ้านท่าล้อ มี ๒ ชุมชน คือ
- ชุมชนท่าล้อร่วมใจ
- ชุมชนร่วมใจพัฒนา
๑. อาณาเขตของหมู่บ้าน
- ทิศเหนือ ติดกับ ลำเหมืองแม่มาน หมู่ที่ ๒ และหมู่ที่ ๗ ต.สูงเม่น
- ทิศใต้ ติดกับ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลหัวฝาย
- ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลหัวฝาย และบ้านท่า ช้างหมู่ ที่ ๗
- ทิศตะวันตก ติดกับ ถนนยันตรกิจโกศล
๒. ข้อมูลด้านการปกครอง ศาสนสถาน โรงเรียน
- เจ้าอาวาสวัดสูงเม่น องค์แรก คือ ครูบากัญจนอรัญวาสีมหาเถร
- ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน คือ นายยศ กล้ำกลาย
- ครูใหญ่โรงเรียนสูงเม่นวิทยาคารคนแรก คือ นายแสน เทพปิตุพงศ์
๓. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของหมู่บ้าน
เนื่องจากหมู่บ้านสุ่งเม่นหรือสูงเม่นปัจจุบัน มีทำเลที่เหมาะในการเลี้ยงสัตว์ สัตว์ต่างที่ใช้เดินทางและบรรทุกสินค้าจนเรียกว่า “ป๋างสุ่งม่น”หรือปางสูงเม่น เพราะมีลำห้วยแม่มานไหลผ่านมีน้ำ และหญ้าอุดมสมบูรณ์ให้สัตว์ได้ดื่มกิน และเจ้าของสัตว์ก็สามารถหาสัตว์ป่า ล่าเนื้อนำมาทำอาหารได้ แต่ในการเดินทางมีการใช้สัตว์หลายประเภท เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ลา ล่อ บ้างก็ใช้เป็นสัตว์บรรทุกสัมภาระ บ้างก็ใช้เป็นสัตว์เทียมเกวียน ลากจูงบ้าง เมื่อเดินทางมาถึงปางสูงเม่นก็หยุดพักแยกสัตว์เลี้ยงแต่ละชนิดไปเลี้ยงในสถานที่ต่างกันไป เพื่อไม่ให้สัตว์ทำร้ายกันและสะดวกต่อการดูแล โดยแบ่งเขต เช่น ทางทิศตะวันออกของบ้านสูงเม่นเหนือแม่น้ำแม่มานใช้เป็นที่เลี้ยงช้าง จึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านท่าช้าง” ส่วนทางทิศใต้ใช้เป็นที่เลี้ยงลาหรือล่อ จึงเรียกว่า “บ้านท่าล่อ” ซึ่งปัจจุบันเป็นบ้านสูงเม่นหมู่ที่ ๑ ภายหลังมาคำเรียกหมู่บ้านได้เปลี่ยนไปเป็น “บ้านท่อล้อ”
คำเรียกหมู่บ้านท่าล้อนี้มีสมมุติฐานอีกประการหนึ่งคือ ในการเดินทางข้ามลำห้วยแม่มานซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีสะพาน เมื่อขบวนล้อเกวียนผ่านมาต้องมีท่าขึ้น-ลง ของขบวนล้อเกวียน เมื่อขึ้นจากท่าน้ำแล้วก็มาพักในบริเวณนี้นำสัตว์ไปกินน้ำกินหญ้า เจ้าของล้อเกวียนก็ทำการซ่อมแซม หรือสร้างล้อขึ้นใหม่แทนของที่ช้ำรุดไป ชาวบ้านแถบนี้ก็ได้ศึกษากระบวนการสร้างล้อเกวียน ซึ่งต่อมาภายหลังชาวบ้านแห่งนี้สามารถประกอบอาชีพเป็นช่างทำล้อเกวียนนำไปขายในหมู่บ้าน ต่างบ้านต่างตำบล หรือแม่แต่ต่างจังหวัดก็มี จึงได้เรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านท่าล้อ”
๔. เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ คือ
การเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระราชินีนาถ
ในวันที่ ๑๕-๑๗ มีนาคม ๒๕๐๑
๕. อาชีพสำคัญของประชาชนในหมู่บ้าน
ประชาชนหมู่บ้านท่าล้อมีอาชีพทำการเกษตรเป็นอาชีพหลัก และมีอาชีพรองคือ การทำล้อเกวียน (ไม้สัก) การสานเสื่อลำแพน เป็นต้น
๖. อาหารท้องถิ่นในหมู่บ้าน
- น้ำพริกน้ำปู ผักนึ่ง
- ตำเตา
- แกงหยวกใส่ปลาแห้ง
๗. ประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญและศิลปวัฒนธรรม ภาษาที่ใช้สื่อสารในหมู่บ้าน
๗.๑ ประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของหมู่บ้าน คือ
- การรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในวันสงกรานต์ เป็นการแสดงการสัมมาคารวะผู้สูงอายุ บิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ของตน
- การทำพิธีเรียกขวัญทูลขวัญ
๗.๒ ศิลปวัฒนธรรมในหมู่บ้านและการเล่นต่างๆ
- การเล่นสะบ้า
- การกลิ้งเหรียญ
- การโยนหลุม
๗.๓ ภาษาที่ใช่สื่อสารในหมู่บ้าน
- ใช้ภาษาพื้นเมืองล้านนา (เมืองแป้)
๘. การแต่งกายของประชาชนในหมู่บ้าน
ในอดีต ผู้ชายใส่เสื้อหม้อฮ้อม เตี่ยวกี ผ้าขาวม้าคาดพุง
ผู้หญิง ใส่เสื้อหม้อฮ้อมมีกระดุมเงิน ใส่ผ้าถุง
ปัจจุบัน ชายหญิง ทำงานในทุ่งนา หรืออยู่กับบ้าน จะใช้เสื้อหม้อฮ้อมกางเกงแล้วแต่สะดวกเหมาะกับ การใส่รองเท้าบูท
การแต่งกายออกนอกเคหะสถานไปตลาด มักจะใช้แบบสากล คือ ใช้เสื้อผ้าที่มีขายตามตลาด
๙. โบราณสถาน และโบราณวัตถุ ของคนในหมู่บ้านไม่มีข้อมูล
๑๐ พิธีกรรม/ความเชื่อ ของคนในหมู่บ้าน
พิธีกรรมทางศาสนา ทำบุญตักบาตร บรรพชา/อุปสมบท
พิธีกรรมตามความเชื่อแก้ปัญหาในกรณีที่ไม่สามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้ว จะมีการรดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ทำขวัญทูลขวัญ เลี้ยงผีปู่-ผีย่า
หมู่ที่ ๒ หมู่บ้านเม่นทองพัฒนา (บ้านสูงเม่นเหนือ)
๑. อาณาเขตของหมู่บ้าน
ทิศเหนือ ติดกับ ลำเหมืองหลวง และหมู่ที่ ๗ ต.ดอนมูล
ทิศใต้ ติดกับ ลำเหมืองแม่มาน และหมู่ที่ ๗ ต.สูงเม่น
ทิศตะวันออก ติดกับ ทุ่งนา และหมู่ที่ ๗ ต.ดอนมูล (บ้านร่องแหย่ง)
ทิศตะวันตก ติดกับ ถนนยันตรกิจโกศล
๒. ข้อมูลด้านการปกครอง
- ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน คือ นายนนท์ เจริญนุกูล (เหมืองหม้อ)
ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าอาวาส และครูใหญ่คนแรกของหมู่บ้านเหมือนกับบ้านหมู่ที่ ๑ เพราะใช้บริการโรงเรียนและวัดเดียวกันและเป็นตำบลเดียวกัน จึงมีชื่อกำนันเหมือนกัน
๓. ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของหมู่บ้าน
เนื่องจากหมู่ที่ ๒ อดีตเป็นที่อุดมสมบูรณ์ มีแมกไม้ขึ้นหนาทึบ เหมาะสำหรับนำช้างมาเลี้ยง ประกอบ
กับมีลำห้วยแม่มานไหลผ่าน ควานช้างจึงนำช้างมาอาบน้ำที่ท่าน้ำนี้ โดยเฉพาะบริเวณท้ายบ้านหน้าบ้านผู้ใหญ่นนท์ ชาวบ้านจึงเรียกบ้านนี้ว่าบ้านท่าช้างบ้าง ซึ่งบริเวณดังกล่าวปัจจุบันได้แยกเป็นหมู่บ้านที่ ๗ ต.สูงเม่นไปแล้ว
๔. เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านมีความประทับใจ
ได้รับพระราชทานเงินขวัญถุง “กองทุนแม่แผ่นดิน” จากสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นหมู่บ้านแรก
ในตำบล เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๐
๕. เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ทำให้ประชาชนจดจำมาจนถึงทุกวันนี้
ช่วงปลายเดือนเมษายน ๒๕๒๙ หลังสงกรานต์ เกิดพายุฝนฟ้าคะนองทำให้บ้านเรือนในหมู่บ้านถูกลมพัดเสียหาย หลังคาบ้านพังไปเกือบ ๑๐ หลัง โดยเฉพาะหลังคาบ้านนายเสงี่ยม เวียงคำ นายอำนวย ขอบปี ถูกลมพัดยกเอาหลังคาบ้านไปตกบริเวณผากทางเข้าตำบลน้ำชำ ห่างจากจุดเกิดเหตุเกือบ ๒๐๐ เมตร ทำให้ชาวบ้านจดจำไม่ลืม
๖. อาชีพสำคัญของประชาชนในหมู่บ้าน คือ
- รับจ้างทั่วไป ๖๕ % - เกษตรกรรม ๑๐ %
- ค้าขาย ๒๐ % - รับราชการ ๕ %
๗. อาหารในหมู่บ้าน ได้แก่
- ลาบหมู ลาบเนื้อวัว/ควาย
- แกงอ่อม หมู-เนื้อ
- ต้มไก่ ยำไก่ คั่วไก่
- น้ำพริก ผักลวก
- ขนมจีน
๘. วัฒนธรรม/ประเพณี การแต่งกายและศิลปะการแสดงต่างๆในหมู่บ้าน
- ประเพณีสำคัญของหมู่บ้าน คือ การรดน้ำดำหัวผู้สูอายุในวันสงกรานต์
- ศิลปวัฒนธรรมการแสดงในหมู่บ้านมีการเล่นซะล้อ ซอ ซึง เป็นวงโดยเฉพาะในเทศกาลวันสงกรานต์
- การแต่งกาย ในสมัยก่อนอดีตที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะใส่เตี่ยวกี เสื้อหม้อฮ้อม ในปัจจุบันแต่งตัวตามยุคสมัย ส่วนเตี่ยวกีและเสื้อหม้อฮ้อมก็ยังมีคนใช้อยู่บ้าง
- ภาษาพูด ชาวบ้านจะพูดคำเมืองเหนือ
๙. แหล่งท่องเที่ยวของหมู่บ้านบ้าน
- มีสินค้า OTOP ระดับ 4 ดาว ในชุมชน
- มีสวนสาธารณะให้ประชาชนในหมู่บ้านได้ใช้พักผ่อน
๑๐. พิธีกรรม/ความเชื่อ
- มีการเซ่นไหว้ผีปู่ผีย่า ผีเรือน
๑๑. การศาสนา/ประเพณี ในหมู่บ้าน
- ประชาชนนับถือพระพุทธศาสนา มีการบรรพชา อุปสมบทบุตรหลาน ฟังเทศน์ ใส่บาตร พิธีกรรมเข้าพรรษา ออกพรรษา
- พิธีงานสงกรานต์ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ลอยกระทง ทอดกฐิน ผ้าป่าสามัคคี
หมู่ที่ ๓ หมู่บ้านประชารักษ์ถิ่น
๑. อาณาเขตของหมู่บ้าน
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลพระหลวง
ทิศใต้ ติดกับ ตำบลน้ำชำ
ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่ที่ ๒ ต.สูงเม่น
ทิศตะวันตก ติดกับ หมู่ที่ ๘ ต.สูงเม่น
๒. ข้อมูลด้านการปกครอง
ผู้ใหญ่บ้านคนแรก คือ นายธิ กันเดช
ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าอาวาสองค์แรก กำนันคนแรก ครูใหญ่คนแรกเหมือนกับหมู่ที่ ๑ เพราะใช้บริจาคบริการวัดและโรงเรียนเดียวกัน และเป็นตำบลเดียวกัน จึงมีข้อมูลเหมือนกัน
๓. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชื่อหมู่บ้าน เหตุผลที่ตั้งชื่อหมู่บ้าน
หมู่ที่ ๓ ประวัติความเป็นมาเหมือนกับประวัติชื่อตำบล ซึ่งหมู่บ้านที่ ๓ ได้ตั้งมานานแล้ว มีผู้นำมาหลาย
สมัย จนมาภายหลังพื้นที่หมู่ที่ ๓ ได้เปลี่ยนการปกครองอยู่ในเขตสุขาภิบาลสูงเม่น และเทศบาลตำบลสูงเม่น จึงมีการจัดตั้งกลุ่มคณะต่างๆ ขึ้น เพื่อช่วยเหลือการบริหารงานของผู้ใหญ่บ้าน อาทิ คณะกรรมการหมู่บ้าน ชุมชนผู้สูงอายุ อาสาสมัครสาธารณสุขมูลฐาน กลุ่มตำรวจบ้าน เป็นต้น เมื่อคณะกรรมการจากกลุ่มต่างๆ ได้ร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับมา โดยมติของประชาคมหมู่บ้านจึงมีการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้านใหม่จากเดิมที่เรียกว่า “บ้านสูงเม่น” มาเป็น “ชุมชนประชารักษ์ถิ่น” มาจนปัจจุบัน
๔. เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ทำให้ประชาชนประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้
- วันที่ ๑๕-๑๗ มีนาคม ๒๕๐๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่ว่าการอำเภอสูงเม่น ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่ที่ ๓
๕. อาชีพที่สำคัญของประชาชน และอาหารท้องถิ่นในหมู่บ้าน
- อาชีพสำคัญ คือการเกษตร
- อาหารท้องถิ่นในหมู่บ้าน คือ น้ำพริก น้ำปู ผักนึ่ง ตำเตา
๖. ประเพณีวัฒนธรรม การแต่งกาย การแสดงศิลปวัฒนธรรมตลอดจนการเล่นต่างๆ
- ประเพณีวัฒนธรรมสำคัญคือการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ
- ศิลปวัฒนธรรม/การเล่นต่างๆ คือ การเล่นสะบ้า การเล่นกลิ้งเหรียญ เล่นโยนหลุม
- การแต่งกาย ผู้ชาย ใส่เสื้อหม้อฮ้อม ผ้าขาวม้าคาดพุง
หญิง ใส่เสื้อหม้อฮ้อม และซิ้นแล้
๗. แหล่งท่อเที่ยวโบราณสถานวัตถุ และภาพต่างๆ
- แหล่งท่องเที่ยววัดสูงเม่นเป็นการท่องเที่ยวอนุรักษ์วัฒนธรรม
- โบราณสถานมีวัดสูงเม่น เจดีย์ครูบามหาเถร แหล่งศึกษาคัมภีร์ใบลาน
- ภาษาพูด ใช้ภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ
๘. พิธีกรรม/ความเชื่อ
- การรดน้ำมนต์ เพื่อเสดาะเคราะห์
- การเลี้ยงผีปู่ย่า
๙. ในด้านศาสนาเนื่องจากวัดสูงเม่นอยู่ในเขตของหมู่ที่ ๓ ความศรัทธาจึงได้ทำพิธีทางศาสนา และรักษาวัฒนธรรมประเพณีกันอย่างดี อาทิ การทำบุญตักบาตร จัดประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีไหว้สาครูบามหาเถร ประเพณีตากธรรม เป็นต้น
หมู่บ้านที่ ๔ บ้านท่ามด
๑. อาณาเขตของหมู่บ้าน
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลพระหลวง
ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลน้ำชำ
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ หมู่ที่ ๘ ตำบลสูงเม่น
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ หมู่ ๑๐ ตำบลสูงเม่น
๒. ข้อมูลด้านการปกครอง
- ผู้ใหญ่คนแรกของหมู่บ้าน คือ นายสอน ขยัก
- เจ้าอาวาสคนแรกของวัดศรีสว่าง คือ พระนายกัญจนวาสี
- ครูใหญ่โรงเรียนวัดศรีสว่างคนแรก คือ นายเจริญ เจือจาน (โรงเรียนยุบแล้ว)
- ส่วนกำนันตำบลสูงเม่น เหมือนในหมู่ที่ ๑
๓. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชื่อหมู่บ้าน
มีประวัติความเป็นมาพร้อมกับวัดศรีสว่าง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๖ วัดศรีดอกเดิมชื่อ “วัดแต๋นมด “
เพราะสถานที่เป็นป่าดงดิบ ติดลำน้ำแม่สาย ในครั้งนั้นมีพระรูปหนึ่งชื่อว่า พระนายกัญจนวาสี ได้อพยพติดตามโยมพ่อ โยมแม่มาจากจังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงแสน ได้มาจำวัตรอยู่ริมดงแห่งนี้ วันหนึ่งพระนายได้เดินออกไปดูรอบๆ ที่พักได้พบแตนรังหนึ่ง ดูคล้ายมด พระนายเดินไปดูใกล้ๆ แตนก็ไม่ทำร้าย ตัวแตน (แต๋น) นั้นมีสีฟ้าอ่อน ไม่เหมือนแตนธรรมดาทั่วไป พระนายจึงกลับมาบอกโยมพ่อ โยมแม่ว่าดงนี้เป็นดงสำคัญตนจะตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นในดงแห่งนี้ โยมพ่อโยมแม่ก็ดีใจ
วันต่อมาพระนายได้ออกไปบอกให้ญาติโยมทั้งหลายที่อาศัยอยู่ริมดงแห่งนี้ ว่าจะตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น แล้วพาโยมทั้งหลายช่วยกันตัดไม้ทำที่พักอาศัย และสร้างศาลาที่ทำบุญ เมื่อสร้างเสร็จแล้วพระสงฆ์จึงตั้งชื่อว่า “วัดแต๋นมด” และชุมชนแห่งนั้นก็มีชื่อเหมือนวัด ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๒ พระอุบาลี คุณูปมาจารย์เจ้าคณะจังหวัดแพร่ ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตปกครองจึงได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า “วัดศรีสว่าง” และบ้านแต๋นมดก็เปลี่ยนไปตามวัดเป็นบ้านท่ามดมาจนถึงปัจจุบัน
๔. อาชีพที่สำคัญในชุมชน คือ
- การทำเฟอร์นิเจอร์ไม้
- การทำการเกษตรกรรม
๕. ประเพณีวัฒนธรรม/งานเทศกาลประจำปี/การแต่งกาย/ศิลปวัฒนธรรม อาหารการกินในหมู่บ้าน
๕.๑ ประเพณี
- งานประเพณีรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในวันสงกรานต์
- งานเทศกาลแห่เทียนพรรษา
- งานประเพณีลอยกระทง
- งานประเพณีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
- งานประเพณีกินสลากหรือตานก๋วยสลาก
๕.๒ การแต่งกายนิยมสวนเสื้อหม้อฮ้อม ผู้ชายใส่กางเกงยาก๊วย (เกี่ยวกี) ผู้หญิงสวมสิ้นแล้
๕.๓ อาหารพื้นเมือง เช่น แกงแค แกงอ่อม แกงฮังเล ลาบ น้ำพริกผักต้ม ไส้อั่ว
๕.๔ ศิลปวัฒนธรรม ได้มีการตัดตุงเพื่อใช้ในพิธีกรรมต่างๆ
๖. โบราณสถาน/โบราณวัตถุ ในหมู่บ้าน
- โบราณสถานได้แก่ วัดศรีสว่าง
- โบราณวัตถุ ได้แก่ พระพุทธรูป ชื่อ พระอสิหิงสอง
๗. พิธีกรรม/ความเชื่อ
- พิธีกรรมการทำบายศรีสู่ขวัญ
- การทำพิธีเสดาะเคราะห์
- การบวงสรวงพ่อพญาแก้วในวัดศรีสว่าง
หมู่ที่ ๕ บ้านโตนใต้หมู่ที่ ๕
๑. อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น
ทิศใต้ ติดกับ ตำบลน้ำชำ อำเภอสูงเม่น
ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่ที่ ๖ ตำบลสูงเม่น
ทิศตะวันตก ติดกับ หมู่ที่ ๙ ตำบลสูงเม่น
๒. การปกครองในปัจจุบัน
- เจ้าอาวาสคนแรกของวัดโชคเกษมคนแรก คือ ครูบาอุปทะ
- ผู้ใหญ่คนแรก คือ นายปั๋น พานพม (๒๕๑๔-๒๕๓๘)
- ครูใหญ่ โรงเรียนวัดโชคเกษม คนแรก คือ นายนิพนธ์ วรรณสุคนธ์
- กำนันคนแรกของตำบล เหมือนกับหมู่ที่ ๑ เพราะอยู่ตำบลเดียวกัน
๓. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชื่อหมู่บ้าน
เนื่องจากบ้านโตน หมู่ที่ ๕ เดิมมีอาณาเขตกว้างขวาง และมีประชากรหนาแน่น ผู้ใหญ่บ้านดูแลและให้บริการไม่ทั่วถึง นายเสริมกันทา ซึ่งเป็นนายอำเภอในสมัยนั้น จึงได้แยกหมู่บ้านออกเป็น ๒ หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ ๕ และหมู่ที่ ๖ โดยมายปั๋น พานพม เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๕ และนายยอง พวงลำเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๖ และในเวลาต่อมาประชากรหมู่ที่ ๕ ได้เพิ่มมากขึ้น ยากแก่การปกครองดูแลในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๔ หมู่บ้านหมู่ ๕ จึงแยกออกเป็น ๒ หมู่บ้าน คือหมู่บ้านที่ ๕ เดิมและหมู่ที่ ๙ โดยหมู่ที่ ๕ มีนายมงคล กังหัน ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ส่วนหมู่ที่ ๙ มีนายพวม พานพม เป็นผู้ ใหญ่บ้าน
บ้านโตน มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ เพราะเดิมมีชื่อเรียกหมู่บ้านว่า “บ้านสันโตน” เหตุที่เรี่ยกว่าบ้านสันโตน เพราะว่า เป็นหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวห่างไกลจาหมู่บ้านอื่น การคมนาคมก็ไม่สะดวก ถนนหนทางก็เป็นทางล้อเกวียน คนที่ตั้งถิ่นฐานครอบครัวแรกไม่ทราบชื่อแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่าเป็นพ่อ-แม่ ของแม่ใหญ่สีแก้ว พ่อใหญ่วงศ์ตั๋น ได้มาทำไร่ทำนา และทำสวนบริเวณหมู่บ้านแห่งนี้ แล้วต่อมาได้มีชาวบ้านจากถิ่นอื่นมาอยู่อาศัยในหมู่บ้านนี้จนมีประชากรเพิ่มขึ้น และมีศูนย์กลางการบริหารหมู่บ้านที่วัดสร่างโศก หมู่ที่ ๖ ปัจจุบัน ชาวบ้านได้ปรึกษาหารือกันเพื่อเลือกผู้นำหมู่บ้านขึ้น ซึ่งเรียกว่า “แก่บ้าน” ผู้ใหญ่บ้านหรือแก่บ้านคนแรกไม่ปรากฏหลักฐานชื่ออะไร เมื่อผู้นำคนแรกถึงแก่กรรมลง ชาวบ้านก็ได้เลือกพ่อหนาน กิจตะวงศ์ กระสาย เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อมา และได้ร่วมกันสร้างวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านขึ้นมาเรียกชื่อว่า “ วัดสันโตน” หรือวัดสร่างโศก ปัจจุบันโดยมีพระกาวินตา เป็นเจ้าอาวาสคนแรก และมีการสืบทอดมรดกทางศาสนาและสังคมสืบมาหลายชั่วคน จวบจนปัจจุบัน
เมื่อหมู่บ้านมีประชากรเพิ่มขึ้น มีการขยายบริเวณที่ทำกินให้กว้างขวางออกไป ประชาชนที่อาศัยทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านอันมีวัดสร่างโศกเป็นศูนย์กลาง มีความไม่สะดวกในการมาปฏิบัติศาสนพิธี ประกอบกับมีคณบดีที่มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้บริจาคที่ดินให้สร้างวัดขึ้นใหม่ คือ พ่อหนานสุยะ อนันทสุข บิดาของหนานพิชัย อนันทสุข และแม่จันดี กาบเกี้ยว ได้ร่วมกับชาวบ้านผู้มีใจบุญทั้งหลาย ได้สร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า “วัดศรีบุญเรือง เมืองหน้าด่าน” คือวัดโชคเกษมในปัจจุบัน โดยมีพระครูบาอุปทะเป็นเจ้าอาวาสคนแรกของวัดนี้ และมีประชาชนต่างถิ่นเข้ามาอาศัยตั้งบ้านเรือนเพิ่มขึ้นเป็นหมู่บ้านใหม่ เรียกว่า “บ้านโตนใต้” และได้แยกออกมาเป็นหมู่บ้านใหม่ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นบ้านโตนใต้ หมู่ที่ ๕ ในปัจจุบัน
๔. อาชีพที่สำคัญของประชาชนและอาหารพื้นบ้านหมู่บ้านโตนใต้ หมู่ที่ ๕
- อาชีพหลัก คือ การทำเกษตร
- อาชีพสอง คือ การทำเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก
อาหารพื้นเมือง แกงแค แกงอ่อม ลาบขม น้ำพริกผักนึ่ง น้ำพริกน้ำปู เป็นต้น
๕. วัฒนธรรมประเพณี/การแสดงศิลปวัฒนธรรม และการแต่งกายตลอดจนการ
- ประเพณีการรดน้ำดำหัววันสงกรานต์
- พระเพณีไหว้สถูปพระครูเกษมโชติคุณ
- ประเพณีตักบาตรเทโว
- การแต่งกาย ส่วนใหญ่ใช้แบบสากลทั่วไป ไปทำงานในไร่ใส่เสื้อหม้อฮ้อม ทั้งหญิงชาย ส่วนกางเกงใส่ตามสะดวก
๖. โบราณสถาน/โบราณวัตถุ ในหมู่บ้าน
- โบราณสถานได้แก่ วัดโชคเกษม
- สถูปพระครูเกษมโชติคุณ
๗. พิธีกรรม/ความเชื่อ
- พิธีทำขวัญ
- เสดาะเคราะห์
- พิธีเลี้ยงผีปู่-ย่า
หมู่ที่ ๖ บ้านโตนหมู่ที่ ๖
๑. อาณาเขตของหมู่บ้าน
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลพระหลวง
ทิศใต้ ติดกับ หมู่ที่ ๔ ตำบลน้ำชำ
ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลสูงเม่น
ทิศตะวันตก ติดกับ หมู่ที่ ๕ ตำบลสูงเม่น
๒. การปกครองในปัจจุบัน
- เจ้าอาวาสคนแรกของวัดวร่างโศก คือ พระอธิการกาวินตา
- ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมุ่ที่ ๖ คือ นายยอง พวงคำ (อมรรัตนปัญญา)
- ครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนวัดสร่างโศก คือ นายแสน ขานไข (เทพปิตุพงศ์)
- ส่วนกำนันคนแรกเหมือนกับหมู่ที่ ๑
๓. ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน
เนื่องจากหมู่ที่ ๖ เป็นหมู่บ้านที่แยกจากหมู่ที่ ๕ เดิม ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๔ แต่ตำแหน่งที่ตั้งหมู่บ้านนี้อยู่ในพิกัดทางภูมิศาสตร์ของหมู่ที่ ๕ เดิมทุกประการ ดังนั้นประวัติศาสตร์การสร้างบ้านแปลงเมือง จะเหมือนประวัติทางบ้านโตน หมู่ที่๕ ทุกประการ และมีหลักฐานการสร้างหมู่บ้านจากประวัติวัดสร่างโศก เพิ่มเติมให้เห็นท้ายนี้ด้วย
๔. เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านจดจำจนทุกวันนี้
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๘ น้ำท่วมใหญ่ในหมู่บ้าน
๕. อาชีพที่สำคัญและอาหารพื้นบ้านในหมู่บ้าน
- อาชีพสำคัญคือการทำเกษตรกรรม
- การทำเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก
- อาหารพื้นบ้านน้ำพริกน้ำปู ผักนึ่ง ผักลวก แกงอ่อม แกงแค
๖. ประเพณีวัฒนธรรมและการแต่งกายของคนในหมู่บ้าน/ภาษาที่ใช้
- รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุวันสงกรานต์
- ทำบุญเขาพรรษาและออกพรรษา
- งานพิธีลอยกระทง งานจันยี่เป็ง
- การแต่งกาย ด้วยชุดหม้อฮ้อม
ภาษาที่ใช้เป็นภาพื้นเมืองภาคเหนือ
๗. โบราณสถาน/โบราณวัตถุ ของหมู่บ้าน
- โบราณสถาน คือ วัดสร่างโศก และสถูปเจดีย์พระสงฆ์ในอดีต
- พระพุทธรูปต่างๆ
๘. พิธีกรรม/ความเชื่อ
- เลี้ยงผีปู่-ย่า
- ทรงเจ้าพ่อขุนตาล
๙. ปราชญ์ชาวบ้าน/ภูมิปัญญา
๑. นายสนิท กิงคง อายุ ๖๐ ปี บ้านเลขที่ ๙๘ หมู่ที่ ๖ ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ มีความเชี่ยวชาญด้านการนวดแผนโบราณ
๒. นางโต๋ แก้วรอบ อายุ ๗๔ ปี บ้านเลขที่ ๙๐/๓ ม.๖ ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ มีความเชี่ยวชาญด้านการจักสาน
๓. นายเสริมศักดิ์ มหาวัน อายุ ๓๘ ปี บ้านเลขที่ ๑๕๙ ม.๖ ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ มีความเชี่ยวชาญด้านการเจียรไนอัญมณี
ประวัติวัดสร่างโศก
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชาวนายากจนครอบครัวหนึ่ง ได้มาทำมาหากินอยู่บริเวณเนินระหว่างแม่น้ำ ๒ สาย คือ แม่น้ำเหมืองและแม่น้ำร่องเกลี้ยง แม่น้ำ ๒ สายนี้ได้ไหลโอบอ้อมบริเวณเนินแห่งนี้เป็นแนวไหลสู่แม่น้ำยม นับได้ว่าเนินแห่งนี้ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ตลอดทั้งปี สามารถทำไร่เพาะปลูกได้ตลอดฤดูกาล ชาวนาครอบครัวนี้จึงตัดสินใจเลือกเอาถิ่นทำมาหากินบนเนินแห่งนี้ปักหลัก ตั้งฐานปลูกสร้างบ้านเรือนเป็นครอบครัวแรกและเป็นครอบครัวเดียวสมัยนั้น จึงถูกเรียกว่า “บ้านสันโตน” (สันแปลว่าเนิน โตนแปลว่าสิ่งเดียว อันเดียว)
ต่อมาชาวบ้านจากถิ่นอื่นทราบข่าวความอุดมสมบูรณ์ของเนินแห่งนี้จึงหลั่งไหลพากันมาตั้งถิ่นฐาน จนในที่สุดบ้านสันโตนจึงมีผู้คนมาอาศัยหนาแน่นมากขึ้น
ประมาณปี จุลศักราช ๑๐๖๔ (พ.ศ. ๒๒๔๕) มีพระภิกษุรูปหนึ่งพร้อมกับสามเณรรูปหนึ่ง ชื่อ พระกาวินดา และสามเณรรัตนะ ได้เข้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหมู่บ้านแห่งนี้ จนทำให้ชาวบ้านสันโตนเลื่อมใสในพระพุทธสาสนาแสละชักชวนร่วมมือกับพระกาวินดา และสามเณรรัตนะสร้างวัดประจำหมู่บ้านขึ้นโดยตั้งชื่อว่า “วัดสันโตน”
ต่อมาประมาณ จุลศักราช ๑๒๑๔ (พ.ศ. ๒๓๙๕) วัดสันโตนได้เจริญและถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ โดยมีพระครูคัมภีระเป็นเจ้าอาวาสได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างกุฎิพระวิหารใหม่แทนหลังที่ชำรุด โดยมีขนาดใหญ่และสวยงามกว่าหลังเดิม และได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดโตนเหนือ” มีพระภิกษุสามเณรจากสำนักอื่นมาอาศัยเพื่อศึกษาทางพระธรรมเป็นจำนวนถึง ๑๖ รูป
ในปีจุลศักราช ๑๒๘๐ (พ.ศ. ๒๔๖๑) กุฎิและพระวิหารที่พระคำภีระสร้างไว้ชำรุด เจ้าอาวาสคนใหม่ชื่อ พระครูอภิยะโสยาน ได้ร่วมกันศรัทธาวัดสร้างกุฎิและพระวิหาร เป็นครั้งที่ ๓ แต่การสร้างยังไม่เสร็จ พระครูภิระโสยานมรณภาพเสียก่อน ต่อมาก็มีพระพรหมา (พ่อหนานหลวงเทพ กางกั้น) เข้ามารับช่วงเป็นเจ้าอาวาสสร้างกุฎิจนแล้วเสร็จเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดโตนเหนือเป็น “วัดสร่างโศก”
จากนั้นประมาณปีจุลศักราช ๑๒๙๙ (พ.ศ. ๒๔๘๐) พระอธิการคำลือจันทศิริ เป็นเจ้าอาวาสได้ทำการพัฒนาวัดอย่างต่อเนื่องและได้สร้างพระวิหารหลังใหม่ขึ้นมา (หลังที่ ๔) แต่การก่อสร้างยังไม่เสร็จท่านก็มามรณภาพเสียก่อน ต่อมาชาวบ้านไปนิมนต์พระครูสมุหัฐชาติ ชินวโร จากวัดสูงเม่นมารับช่วงสร้างพระวิหาร จนแล้วเสร็จในปีจุลศักราช ๑๓๓๗ (พ.ศ. ๒๕๑๘)
หมู่ที่ ๗ บ้านท่าล้อพัฒนา
๑. อาณาเขตขอนงหมู่บ้าน
ทิศเหนือ ติดกับ หมู่ที่ ๒ ตำบลสูงเม่น
ทิศใต้ ติดกับ หมู่ที่ ๑ ตำบลสูงเม่นและตำบลหัวฝาย
ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่ที่ ๒ ตำบลหัวฝาย
ทิศตะวันตก ติดกับ หมู่ที่ ๑ ตำบลสูงเม่น
๒. ข้อมูลด้านการปกครอง
- ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน คือ นายชาญ ข้ามสาม
ส่วนข้อมูลอื่นๆ ในด้านนี้ตรงกับหมู่ที่ ๑ ทุกประการ
๓. ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของหมู่บ้าน
ชุมชนท่าล้อพัฒนา หมู่ที่ ๗ ตำบลสูงเม่น เป็นหมู่บ้านที่แยกใหม่ ส่วนใหญ่มีอาชีพทำล้อเกวียน จำหน่ายเป็นอาชีพหลัก จึงใช้ชื่ออาชีพเป็นชื่อของหมู่บ้าน เรี่ยกว่า หมู่บ้าน “ท่าล้อ” แต่พื้นที่บางส่วนในเขตท่าช้างวังขามซึ่งมีประชากรน้อยกว่าเขตบ้านท่าล้อ ชาวบ้านจึงได้มีมติเรียกชื่อของตนว่า “ชุมชนท่าล้อพัฒนา”
๔. เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ประทับใจประชาชน คือ
การที่ได้แยกหมู่บ้านมาจากหมู่บ้านที่ ๒ มาเป็นหมุ่บ้านทที่ ๗ ในปัจจุบัน ในพ.ศ. ๒๕๒๙
๕. เหตุการณ์ที่ทำให้ชาวบ้านจดจำมาตลอดจนทุกวานนี้ คือ
ตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๗ ไทยรบกับญี่ปุ่นทำให้ข้าวยากหมากแพง ชุมชนต้องสร้างหลุมหลบภัยจากระเบิดที่ใช้ในสงครามครั้งนั้น
๖. อาชีพของชาวบ้าน อาหารพื้นบ้าน
- อาชีพของประชาชนในหมู่บ้าน คือ การรับจ้างเป็นส่วนใหญ่ รองลงมา ได้แก่ การเกษตร
- อาหารพื้นบ้านสำคัญ คือ แกงหน่อไม้ น้ำพริกผักนึ่ง และน้ำพริกตาแดง
๗. ประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญ/การแต่งกาย/ภาษาพูด
- ประเพณีวัฒนธรรม คือ การรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ การไหว้ผีปู่ผีย่า
- การแต่งกายนิยมใช้ผ้าหม้อฮ้อมทั้งหญิงและชาย
- ภาษาที่ใช้คือภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ
๘. โบราณสถานและโบราณวัตถุของหมู่บ้าน
- โบราณสถานสำคัญ คือ โบสถ์คริสตจักรไทยวัฒนธรรม
๙. พิธีกรรม/ความเชื่อ
- สืบชะตา
- เสดาะเคราะห์
- เสกเป่าน้ำมนต์
๑๐. ปราชญ์ชาวบ้าน/ภูมิปัญญาในหมู่บ้าน
- นายสวัสดิ์ ขีดสร้อย อายุ ๖๘ ปี บ้านเลขที่ ๑๓๖/๑ ม.๗ ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ มีความเชี่ยวชาญในการอ่านเขียน ภาษาล้านนา และจักรสาน
- นายหลวง จำเดิม อายุ ๗๘ ปี บ้านเลขที่ ๒๒๕ ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ เชี่ยวชาญการประดิษฐ์ของใช้จากกะลามะพร้าว
- นางคำมูล มั่งคั่ง อายุ ๖๕ ปี บ้านเลขที่ ๑๔๔ ม.๗ ต.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ เชี่ยวชาญด้านการใช้คาถาอาคมเป่าดับพิษไฟน้ำร้อนลวก
๑๑. ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
โบสถ์คริสจักรไทยวัฒนธรรม เกิดจากการเผยแพร่ ของ “พระกิตติคุณ” โดยศาสนทูตซีอาร์คาแลนเดอร์และภรรยาร่วมกับเจ้าหน้าที่คริสต์จักรที่ ๑ เทสร็จแล้วทำการสถาปนาเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๕๕
หมู่ที่ ๘ ชุมชนท่าม้าพัฒนา
๑. อาณาเขตของหมู่บ้าน
ทิศเหนือ ติดกับ หมู่ที่ ๒ ตำบลพระหลวง
ทิศใต้ ติดกับ ตำบลน้ำชำ
ทิศตะวันออก ติดกับ หมู่ที่ ๓ ตำบลสูงเม่น
ทิศตะวันตก ติดกับ หมู่ที่ ๔ ตำบลสูงมเม่น
๒. ข้อมูลด้านการปกครอง
- ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน คือ นายปั๋น ชอุ่ม
- เจ้าอาวาสวัดศรีสว่าง คนแรก คือ พระนายกัญจนวาสี
- ครูใหญ่คนแรก ของโรงเรียนวัดศรีสว่าง (ยุบ) คือนายเจริญ เจือจาน
- ส่วนกำนันคนแรกของตำบลเหมือนหมู่บ้านอื่นๆ
๓. ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน
ชุมชนท่าม้าพัฒนา หมู่ที่ ๘ ในอดีตเป็นทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้เขียวชอุ่ม มีแม่น้ำแม่มานไหลผ่านมีน้ำตลอดปี และมีระยะทางไม่ไกลจากที่ตั้ง “ป๋างสู่งเม่น” คณะคาราวานจึงได้กำหนดให้ป่าทางทิศตะวันตกเป็นที่เลี้ยงม้า มีทั้งม้าที่เป็นพาหนะสำหรับขี่ม้า ม้าต่าง ม้าลากจูง เป็นต้น ทำให้มีความสะดวกในการดูแลเอาใจใส่ ไม่ให้สัตว์ต่างประเภทกับมาอยู่ร่วมกัน ซึ่งมันอาจทำร้ายกันได้ ส่วนสัตว์อื่น เช่น ช้างก็จัดให้ไปเลี้ยงทางทิศตะวันออกบริเวณบ้านท่าช้าง เป็นต้น
ในเวลาต่อมามีประชาชนมาอยู่อาศัยกันมากขึ้น เป็นหมู่บ้าน และตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “บ้านท่าม้า” และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครอง “บ้านท่าม้า” ก็อยู่ในเขตเทศบาลสูงเม่น การบริหารหมู่บ้านจะทำเป็นหมู่เป็นกลุ่มของคนในสาขาต่างๆ แทนที่จะเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านคนเดียว เหมือนเดิม จึงเปลี่ยนหมู่บ้านเสียใหม่ ว่า “ ชุมชนท่าม้าพัฒนา “ ที่คนในชุมชนทุกคน ทุกหมู่บ้านต่างช่วยกันพัฒนา
๔. ตำนานเรื่องเล่าของหมู่บ้าน
มีเรื่องเล่าว่านานมาแล้วมีผีแม่หม้ายออกอาละวาด ทำให้ผู้ชายในหมู่บ้านอื่นตายเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ชายบ้านท่าม้าไม่มีใครตายเพราะได้รับการปกป้องขัดขวางของเจ้าพ่อพญาแก้ว ท่านทำต้นหางนกยูงยักษ์หักล้มขวางทางไว้ไม่ให้ผีแม่หม้ายมาทำร้ายลูกหลานผู้ชายในหมู่บ้านนี้
๕. เหตุการณ์สำคัญในอดีตทำให้ประชาชนในหมู่บ้านประทับใจมาจนทุกวันนี้คือ ประชาชนในหมู่บ้านได้พระพุทธรูปปางมริชัยจากแม่น้ำยม มาประดิษฐานที่วัดศรีสว่าง ซึ่งชาวบ้านได้เสี่ยงทายเพื่อตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ในที่สุดได้ชื่อว่า “หลวงพ่อยมนา๑”
๖. เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ประชาชนจดจำมาจนวันนี้ คือ
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ เกิดเหตุการณ์วาตภัยถล่มหมู่บ้านทำให้บ้านเรือนเสียหายหลายหลัง มีบ้านที่