อำเภอเมืองเพชรบุรี เดิมอำเภอนี้ตั้งอยู่ที่วัดอินทาราม (วัดร้าง) ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเพชรบุรี ริมทางรถไฟใกล้บ้านนามอญในตำบลท่าราบ ต่อมามีการสำรวจกรุยเส้นทางจะสร้างทางรถไฟสายใต้ผ่านเมืองเพชรบุรี ก็พอดีถูกตรงที่อำเภอนี้และผ่านเข้าไปในบริเวณวัดใหญ่สุวรรณารามด้วย ในเวลานั้น ได้ก่อสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นในตำบลคลองกระแชง ซึ่งตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ ตามแผนย้ายเมืองจากฝั่งตะวันออกไปตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก และอำเภอเมืองต้องย้ายตามไปตั้งเข้าแนวเดียวกับศาลากลางจังหวัดด้วย (แต่ภายหลังเส้นทางรถไฟเปลี่ยนย้ายห่างออกไปทางทิศเหนือเพื่อไม่ให้ตัดผ่าเข้าไปในวัดใหญ่สุวรรณาราม ทั้งนี้เพราะเจ้าอาวาสได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อเสด็จประพาสเพชรบุรี ได้ทูลขอมิให้ตัดทางรถไฟผ่าเข้าในวัด จึงทรงโปรดฯ ให้ย้ายทางหลีกวัดไปไกล ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้) ส่วนอำเภอต้องรื้อไปก่อสร้างต่อแนวศาลากลางจังหวัดตามผังเมืองใหม่ สร้างเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ๓ ห้อง ออกมุขกลางมุงด้วยสังกะสี ใช้ชื่อว่า “ที่ว่าการอำเภอเมืองเพชรบุรี” แต่ภายหลังกระทรวงมหาดไทยสั่งให้เปลี่ยนชื่อตามตำบลที่ตั้ง จึงเปลี่ยนเป็น “อำเภอคลองกระแชง” เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖
ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๗๑ ได้สร้างที่ว่าการอำเภอขึ้นใหม่ในที่เดิมให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเป็นอาคารไม้ ๒ ชั้นครึ่ง แบ่งออกเป็น ๖ ห้อง ยื่นมุขกลางจากเฉลียงนอกห้องทาสีและหลังคามุงกระเบื้อง
ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งให้อำเภอที่ตั้งเมืองทุกจังหวัด เปลี่ยนชื่อเป็น “อำเภอเมือง” เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๑ ฉะนั้นอำเภอคลองกระแชงจึงเปลี่ยนเป็นอำเภอเมืองเพชรบุรีเหมือนเมื่อ ครั้งแรกตั้งชื่ออำเภอ
เมื่อตั้งอยู่ที่วัดอินทาราม (ร้าง) ฝั่งท่าราบนั้น จะมีชื่ออย่างไรไม่ปรากฎ เพราะสมัยโบราณก่อนที่จะย้ายอำเภอไปตั้งฝั่งคลองกระแชงนั้น ตั้งเป็นแขวง ฝั่งตะวันออกมีขุนชำนาญเป็นนายแขวง ราษฎรจึงพากันเรียกว่า แขวงขุนชำนาญ ฯ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเพชรบุรีมีหลวงพรหมสารเป็นนายแขวง ราษฎรจึงเรียกกันว่า แขวงหลวงพรหมฯ ส่วนลงไปทางทิศใต้สุดเขตเพชรบุรี มีหลวงศรีทิพย์ภิบาล เป็นนายแขวง จึงเรียกว่า แขวงหลวงศรี ฯ
แต่คำว่า อำเภอคลองกระแชง ตามชื่อตำบลที่ตั้งอำเภอซึ่งได้ชื่อว่า คลองกระแชง ก็เพราะในตำบลนี้มีคลองเก่าผ่านไปทางบ้านดอนคาน ถึงสะพานยี่หน ตามลำคลองสายนี้มีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมคลองหลายบ้าน ซึ่งมีอาชีพเย็บกระแชงขายแก่พวกเรือค้า แต่ที่บ้านดอนคานซึ่งมีชื่อมาจนเดี๋ยวนี้ก็เพราะเป็นที่ นำเรือขึ้นคาน เพื่อตอกหมันยาชัน หรือรับจ้างซ่อมเรือกระแชงนั่นเอง ปัจจุบันนี้เป็นที่นาที่ไร่ ไม่เป็นลำคลองเสียแล้ว เพราะค่อยๆ ตื้นเขินจนหมดเป็นที่ราบไปเลย
การเปลี่ยนแปลงตำบลและหมู่บ้านในสมัยโบราณนั้น คงจะเปลี่ยนย้ายโอนกันไปกันมาโดยเห็นว่าเหมาะสมให้ความสะดวกแก่ราษฎรเป็นสำคัญ ทั้งทางอาชีพและคมนาคม ตามกาลสมัยอยู่เสมอมา แต่ก็ไม่มีหลักฐานปรากฏ แน่ชัด เท่าที่มีหลักฐานปรากฏอยู่มีดังนี้
๑. ตำบลหัวสะพาน กับตำบลต้นมะพร้าว เดิมอยู่ในเขตอำเภอเขาย้อย เหตุเพราะมีถนนดินพอรถจะวิ่งได้ถึง จึงโอนมาขึ้นกับอำเภอเมือง
๒. ตำบลบางจาน ตำบลสำมะโรง ตำบลนาพันสาม และตำบลหาดเจ้าสำราญ เดิมขึ้นอยู่กับอำเภอบ้านแหลม ได้โอนมาอยู่อำเภอเมือง
๓. ตำบลในอำเภอบ้านลาดซึ่งยกฐานะเป็นอำเภอในชั้นแรกทั้งหมดทุกตำบล เป็นเขตของอำเภอเมือง
๔. ตำบลดอนยางกับตำบลหนองขนาน เดิมขึ้นอยู่กับอำเภอหนองจอก แต่เมื่อย้ายอำเภอหนองจอกไปอยู่ที่ตำบลชะอำ เรียกว่า อำเภอชะอำ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ แล้วจึงโอน ๒ ตำบลนี้มาขึ้นกับ อำเภอเมือง เพื่อความสะดวกของราษฎรเป็นสำคัญ
ที่มาข้อมูล
ชาญ ชาญใช้จักร, เรือเอก. ประวัติมหาดไทย. โรงพิมพ์อนุกูลกิจ, เพชรบุรี. ๒๕๑๐. หน้า ๘๑ – ๘๔